โลมานอนน้อย ‘วากีต้า’ อาจเป็นสัตว์ตัวต่อไปที่จะสูญพันธุ์

โลมานอนน้อยไม่ใช่ชื่อของโลมาชนิดนี้ แต่จริงๆ แล้วมันชื่อว่า "โลมาวากีต้า" แต่ที่ผมเรียกมันว่านอนน้อย ก็อย่างที่เห็นขอบตาของโลมาชนิดนี้มันดำชะมัด และในเรื่องนี้ผมจะมานำเสนอในมุมมองของงานวิจัย ที่เพิ่งจะเผยแพร่มาเมื่อประมาณ 2 ปีก่อน โดยนักวิจัยออกได้สำรวจทะเลแถบชายฝั่งเม็กซิโก เพื่อนับจำนวนหนึ่งในสัตว์ที่ใกล้สูญพันธุ์มากที่สุดในโลก นั่นคือโลมาวากีต้า (Vaquita) ทีมนักวิจัยกลัวความเป็นไปได้ที่จะไม่มีพวกมันเหลืออยู่เลย เพราะการสำรวจครั้งล่าสุดในปี พ.ศ. 2562 (2019) คาดว่าเหลือเพียง 10 ตัวเท่านั้น

ในขณะที่นักวิจัยพยายามค้นหาโลมาวากีต้าและก็พยายามอนุรักษ์พวกมัน ชาวประมงในพื้นที่เองก็กำลังเตรียมออกเดินทางไปพร้อมกับแหและอวนที่ผิดกฎหมาย ซึ่งนักวิจัยกล่าวว่า นี่เป็นต้นเหตุหลักที่ทำให้โลมาสูญพันธุ์ ยกตัวอย่างผนังตาข่ายอวนที่ห้อยอยู่ใต้ผิวน้ำลึกลงไปถึง 6 เมตร และยืดความยาวไปได้เท่ากับสนามฟุตบอล

อวนพวกนี้ไม่เพียงใช้จับกุ้งและปลา พวกมันยังเข้าไปพันกับโลมาวากีต้า ทำให้โลมาพวกนี้จมน้ำตาย นักวิจัยกล่าวว่า อวนเป็นสาเหตุสำคัญที่ทราบกันดีสำหรับหายนะของโลมาที่อาศัยอยู่ในทะเลแถบนี้ แต่การจำกัดการใช้อวนกลับกลายเป็นเรื่องท้าทายอย่างที่คาดไม่ถึง …ท่ามกลางวิกฤตความหลากหลายทางชีวภาพทั่วโลก มีสัตว์มากมายถูกคุกคามจนใกล้สูญพันธุ์

เรื่องราวของโลมาวากีต้าแสดงให้เห็นวิธีแก้ปัญหาที่ชัดเจน

Advertisements

ในกรณีนี้คือหยุดการทำประมงที่ผิดกฎหมาย แต่มันต้องใช้เจตจำนงทางการเมือง การบังคับใช้กฏหมาย และการมีส่วนร่วมอย่างลึกซึ้งกับชุมชนท้องถิ่นเพื่อให้บรรลุผลถึงความต้องการของทั้งคนและสัตว์เหล่านี้

แต่! จนถึงทุกวันนี้รัฐบาลยังไม่ได้ให้วิธีแก้ปัญหา หรือวิธีที่มีประสิทธิภาพในการสนับสนุนครอบครัวชาวประมง โดยไม่ต้องออกไปจับปลาอย่างผิดกฎหมาย” Ramón ประธานสหพันธ์สหกรณ์ประมงในซานเฟลิเป เมืองที่อยู่ใกล้บ้านของโลมาวากีต้า กล่าว “ลูกหลานของพวกเรา ต้องการทั้งอาหารและเสื้อผ้า”

ผลลัพธ์ในช่วงแรกจากการสำรวจประชากรโลมาวากีต้าประจำปี ซึ่งเสร็จสิ้นในช่วงปลายปี แสดงให้เห็นว่าสัตว์เหล่านี้ยังคงมีอยู่ แต่ก็อยู่ในสภาวะสุ่มเสี่ยงมาก ผู้เชี่ยวชาญด้านสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมในทะเลกล่าวว่า การกู้คืนประชากรของพวกมันเป็นไปได้ แต่ที่อยู่อาศัยของพวกมันต้องไม่มีอวนหรือตะข่ายดักปลา

ในทางกลับกัน การประมงที่ผิดกฎหมายในพื้นที่ กลับแพร่ระบาดและเกิดขึ้นมากอย่างคาดไม่ถึง แม้ในขณะที่ทีมนักวิจัยจากเม็กซิโกและสหรัฐอเมริกามาถึงซานเฟลิเป เพื่อนับจำนวนโลมา ดูเหมือนว่าการจับปลาแบบผิดกฏหมายยังดำเนินต่อไปอย่างไม่ลดละ

Advertisements

ในตอนนี้ประชากรโลมาวากีต้าลดลงจากประมาณ 600 ตัวในปี พ.ศ. 2540 (1997) เป็น 10 ตัวในปี พ.ศ. 2562 (2019) ซึ่งถือว่าใกล้สูญพันธุ์เต็มที แต่ก็ยังมีตัวอย่างของสัตว์ใกล้สูญพันธุ์ที่เพิ่มจำนวนกลับมาในอัตราที่ใกล้เคียงกัน

และการสำรวจในปี พ.ศ. 2562 (2019) ได้บันทึกลูกโลมาที่แข็งแรงเอาไว้ได้สามตัว ซึ่งอยู่ในฝูงของโลมาที่เหลือ แต่หลังจากนั้นก็มีรายงานว่ามีโลมาวากีต้าอย่างน้อยหนึ่งตัวตายในตาข่ายดักปลา

ความพยายามเพื่อเลี่ยงความขัดแย้ง

เพื่อปกป้องพวกมัน มีคำสั่งของรัฐบาลเม็กซิโกห้ามมิให้ใช้อวนหรือตาข่ายจับปลา ในบริเวณส่วนใหญ่ของอ่าวแคลิฟอร์เนียตอนบน ซึ่งเป็นที่เดียวที่โลมาอาศัยอยู่ อีกแหล่งหนึ่งได้สั่งห้ามการจับปลาทั้งหมดในพื้นส่วนเล็กๆ ของอ่าว ซึ่งเรียกอย่างเป็นทางการว่าพื้นที่ห้ามจับปลา …แต่ในซานเฟลิเป้ เหมือนกับว่าไม่มีกฎนี้อยู่

และแม้จะถูกห้าม ก็ยังเรือประมงที่ใช้อวนหรือตาข่ายดักปลาอย่างเปิดเผย จนถูกสั่งให้เข้าไปในอ่าวโดยกองทัพเรือเม็กซิโก นักวิจัยสามารถนับเรือประมงได้ 117 ลำในวันเดียว …ในส่วนพื้นที่ควบคุมซึ่งครอบคลุมพื้นที่ยาวประมาณ 24 กิโลเมตร มีคำสั่ง “ห้ามการเดินเรือทุกประเภทภายในเขตนี้ ยกเว้นสำหรับการเฝ้าระวัง การสืบสวนหรือเรือกู้ภัย” นอกจากนี้ยังระบุด้วยว่า “ห้ามทำการประมงทุกชนิด”

Jonathan White นักอนุรักษ์ที่ระดมเงินเพื่อสนับสนุนโครงการสำรวจ อยู่บนเรือลำหนึ่งในช่วงระยะเวลาการวิจัย เป็นสองวันที่แตกต่างกันในเดือนตุลาคม เขากล่าวว่า เขานับเรือประมงได้มากกว่า 65 ลำ ซึ่งเป็นจำนวนที่เกินกำหนดมาก และมันก็อยู่ในพื้นที่ควบคุม แต่เขาไม่เห็นการบังคับใช้กฏหมายเลย “มันเลวร้ายมาก”

ในทำนองเดียวกัน ในวันนั้นของต้นเดือนพฤศจิกายน เมื่อนักวิจัยนับเรือได้มากกว่า 100 ลำในพื้นที่ควบคุม ก็ไม่มีวี่แววของการบังคับใช้กฏหมายเช่นกัน

เมื่อถามถึงการขาดการดำเนินการที่ชัดเจน ผู้บัญชาการฝ่ายประชาสัมพันธ์กองทัพเรือ กล่าวว่า เจ้าหน้าที่กำลังปรับกฎให้เข้ากับความต้องการทางสังคม ทำให้สามารถมีเรือได้มากถึง 65 ลำในพื้นที่ควบคุม พวกเขาไม่เคยเห็นอะไรมากไปกว่านี้ เจ้าหน้าที่กล่าว แต่เขารับทราบถึงการขาดการบังคับใช้กฏหมายโดยรวม และเจ้าหน้าที่ของเรากำลังพยายามหลีกเลี่ยงการเผชิญหน้ากับชาวประมง ..นอกจากนี้เจ้าหน้าที่ยังอ้างถึงการจลาจลและความไม่สงบที่เกิดขึ้นก่อนหน้านี้

ให้โอกาสพวกมันรอดชีวิต

ในปี พ.ศ.2560 (2017) นักวิจัยเคยพยายามที่จะนำโลมาบางส่วนไปเลี้ยง แต่พวกเขาต้องละทิ้งความพยายาม เมื่อโลมาเครียดจากการอยู่ในสภาพกักขัง สุดท้ายโลมาก็ตายทั้งหมด …จึงสรุปได้ว่า โลมาชนิดนี้ไม่สามารถเลี้ยงในสภาพกักขังได้ และมันก็มีจำนวนน้อยเกินไปที่จะลองผิดลองถูก

Advertisements

และเพื่อช่วยอนุรักษ์โลมา ในตอนนี้สหรัฐฯ ได้สั่งห้ามนำเข้าอาหารทะเลจากอ่าวตอนบนแล้ว เนื่องจากสถานการณ์โลมาวากีต้า และเจ้าหน้าที่ก็กำลังพิจารณามาตรการเพิ่มเติม โดยผู้ช่วยผู้แทนการค้าทางสิ่งแวดล้อมและทรัพยากรธรรมชาติของสหรัฐอเมริกากล่าวว่า การสูญเสียโลมาวากีต้า จะเป็นการทำลายล้างและสูญเสียครั้งใหญ่ …แต่ดูเหมือนจะไม่ได้ช่วยอะไรมากนัก เพราะมีสัตว์ทะเลถูกจับเป็นจำนวนมาก เพื่อส่งไปอเมริกาอยู่ดี

สำหรับโลมาวากีต้า (vaquita) มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า โฟโคเอน่า ไซนัส (Phocoena sinus) เป็นโลมาที่พบได้เฉพาะทางตอนเหนือสุดของอ่าวแคลิฟอร์เนีย ประเทศเม็กซิโก มีความยาวประมาณ 150 เซนติเมตร โดยตัวเมียจะใหญ่กว่าตัวผู้เล็กน้อย

โดยโลมาวากีต้า จัดเป็นสัตว์จำพวกวาฬขนาดเล็กที่สุด มันมีครีบหลังเป็นรูปสามเหลี่ยมสูงผิดปกติ หัวกลม และไม่มีจงอยที่ยาว สีส่วนใหญ่เป็นสีเทาโดยมีหลังสีเข้มกว่าและช่องท้องสีขาว มีรอยดำเด่นชัดรอบริมฝีปากและดวงตา …ปัจจุบันอยู่ในสถานะ ใกล้สูญพันธุ์ขั้นวิกฤติ

เมล็ดกาแฟคั่ว ติดบ้าน คอฟฟี่ “หอม ชัด หนัก แน่น นาน”
Facebook : https://www.facebook.com/TitBaanCoffee

ขอเชิญทุกท่านเข้าร่วม “ชุมชนกาแฟ”
กลุ่มสังคมผู้ชื่นชอบพูดคุย แลกเปลี่ยน เรื่องกาแฟ : https://www.facebook.com/groups/chumchoncoffee

อ่านเรื่องอื่น

Advertisements
Advertisements
แหล่งที่มาnytimes