บันทึกตำนานแห่งคองโก Mokele Mbembe สัตว์ประหลาดที่หยุดสายน้ำ

ทวีปแอฟริกาเป็นทวีปที่มีเนื้อที่กว้างใหญ่ เต็มไปด้วยสัตว์ป่าหลากหลายสายพันธุ์ และมีหลายชนิดที่ค่อยเป็นที่รู้จักเพราะมีจำนวนน้อย จนถึงที่คาดว่าสูญพันธุ์ไปแล้วก็มี ไมว่าจะเป็นปลาพันธุ์ใหม่ และอีกหลายชนิดที่มนุษย์ไม่เคยพบเห็นเลย สัตว์เลี้อยคลานพันธุ์ใหม่ แมลงพันธุ์ใหม่ หรือแม้แต่ไดโนเสาร์....!! หรือสัตว์ในตำนานที่อาจมีอยู่จริงอย่าง มาวคีลี เมมบี (Mokele Mbembe)

เรื่องราวเริ่มต้นเมื่อ 200 กว่าปีก่อน

Advertisements

กระแสข่าวเรื่องเล่าของการพบสัตว์ประหลาด มันมีรูปร่างของมันไม่ตรงกันขึ้นอยู่กับแหล่งข่าว แต่พอสรุปได้ว่ามันคือไดโนเสาร์ ที่ยังไม่มีใครบอกได้ว่ามันคือตัวอะไรกันแน่ มีเพียงคนพื้นเมืองรู้จักเจ้านี้เป็นอย่างดี และเรียกมันในชื่อต่างกันไป มันเป็นได้ทั้งไดโนเสาร์ หรือไม่ก็แรด หรือก็ได้ทั้งนั้น และชื่อที่รู้จักกันมากที่สุดคือ

“มาวคีลี เมมบี (Mokele Mbembe) หรือตามภาษาลิงกาลามีความหมายว่า “ผู้ที่หยุดการไหลของน้ำได้”

มาวคีลี เมมบี พบครั้งแรกบริเวณประเทศ “คองโก” บางก็มีคนเห็นที่บริเวณ คาเมอรูน กาบอง เนื่องจากสามประเทศนี้มีเนื้อที่เชื่อมติดกัน โดยบริเวญที่พบตัวจะเป็นป่าทึบร้อนชื้นขนาดใหญ่ มีแม่น้ำ หนองน้ำ บึงอยู่ทั่วไป และบางแห่งเป็นหนองน้ำที่เนื้อที่ราว 55,000 ตารางไมล์ ใหญ่กว่ารัฐฟลอริดาของสหรัฐอเมริกาทั้งรัฐ

สัตว์ประหลาดที่มีชื่อเรียกมากมาย

แม้สัตว์ลึกลับนี้จะรู้จักในกันในชื่อ “มาวคีลี เมมบี” แต่ชนเผ่าพื้นเมืองบางแห่งก็เรียกแตกต่างกันออกไป เช่น อีเมร่า อืนตูกา (Emela Natouka)เป็นภาษาลิงกาลาแปลว่า ผู้ฆ่าช้าง หรือ ช้างน้ำ นอกนากนี้ก็มี อเสกา โมเก, อัมกัมบา นาแม, และ อีมีอา อืมตูกา ..ชื่อเยอะจริงๆ

จากบันทึกและคำบอกเล่าก็พอจะสรุปได้ว่า มาวคีลี เมมมบี มีขนาดพอๆ กับช้างหรืออาจใหญ่กว่าช้างนิดหน่อย หากหนักเหมือนจระเข้ มีเขาเดี่ยว หรืออาจเรียกว่านอเดี่ยวตั้งอยู่กลางหัว คล้ายงาของช้างสีผิวของมันไปทางน้ำตาลหรือเทา เกลี้ยงไม่มีขน รอยเท้าขนาดเท่ากับช้างมีนิ้วสามนิ้วและมีเล็บ เสียงมีทั้งเสียงหอน เสียงคำราม เสียงคราง มันเป็นเสียงที่มนุษย์ไม่เคยได้ยินมาก่อน

รูปร่างหน้าตาที่หลากหลาย

จากคำบอกเล่าและบันทึกหลายปาก พบว่า “มาวคีลี เมมบี” มีหลายรูปมาก แต่ถ้าหลักๆ เลยคือ มันเป็นสัตว์ขนาดใหญ่ ที่คอยาว หางยาวและมีนิ้วสามนิ้วแหลม และถ้าให้ชาวพื้นเมืองวาดรูปเกี่ยวกับตัวมันดูจะพบว่ามันเหมือนไดโนเสาร์ พันธุ์เซาโรพอดมาก

จากการคาดคะเน มีความยาวลำตัวประมาณ 5 -10 เมตร คอยาว 1.6 – 3.3 เมตร ความยาวของหางยาวประมาณ 1.6-3.3 เมตร มีรายงานว่ามันมีหงอนเหมือนไก่ตัวผู้ และมีบางรายงานบอกว่ามันมี 2 เขาอยู่ที่หัว

ตามหลักฐานบันทึกการมีอยู่ของมาวคีลี เมมบี (ถ้ามันมีตัวตนอยู่จริง) ตามที่ชาวตะวันตกได้บันทึกเอาไว้เป็นครั้งแรก นั้นก็เมือเมื่อปี ค.ศ.1776 เป็นบันทึกของบาทหลวงชาวฝรั่งคนหนึ่งที่ชื่อ ลีแวง โบนาวองตู โปรยา (Lvain Proyart) ซึ่งได้บันทึกสถานที่พบเห็น มาวคีลี เมมบี เอาไว้ว่าอยู่ในประเทศคองโก ซึ่งได้เจอโดยบังเอิญตอนเดินทางไปเผยแพร่ศาสนาแก่ชนพื้นเมืองที่นั่น

ตามบันทึกของบาทหลวงได้บรรยายลักษณะของเจ้าสัตว์ประหลาดตัวนี้ว่า ไม่เหมือนกับสัตว์ที่เคยเห็นมาก่อน มันใหญ่เท่าช้างแต่ไม่ใช้ช้าง และได้บรรยายถึงลักษณะของรอยเท้าที่อยู่บนดินที่มีรอยกรงเล็บของมันเอาไว้ ด้วยว่ามีขนาด 3 ฟุต ก็นับว่าการเริ่มต้นเรื่องเล่าขานของสัตว์ลึกลับที่คองโกเลยทีเดียว ..รายงานบันทึกของบาทหลวงทำให้มีการตั้งกลุ่มสำรวจคองโกเป็นครั้งแรก ช่วงค.ศ. 1880 นับแต่นั้นเป็นต้นมา

ปี ค.ศ.1909 ร้อยโท ปอล แกรตซ์ (It.Paul Gratz) ได้บันทึกเรื่องราวถึงลักษณะของเจ้าสัตว์ชนิดนี้เช่นกัน ในตอนที่เขาได้เห็นมัน เขาบันทึกว่า

“มันดูคล้ายกับจระเข้ตัวโตมาก แต่ว่าไม่ใช่อย่างแน่นอน ผิวหนังของมันไม่มีเกล็ดเลยและเท้าก็มีกรงเล็บอยู่ทั้งสี่ข้าง”

เขาเล่าว่าได้เห็นมันขณะที่มันว่ายน้ำอยู่ในบึงใกล้กับทะเลสาบบังวีอูลู ( Bangweulu ) ที่ประเทศแซมเบีย (Zambia) ซึ่งเขาตั้งชื่อเจ้าสัตว์ตัวนี้ว่า “อืมซังกา”

ปี ค.ศ.1913 รัฐบาลเยอรมัน ส่ง ร้อยเอก เฟรเออ ฟอนสไตน์ ซู เลาสนิทช์ และคณะไปสำรวจคาเมอรูนและภาคกลางของแอฟริกา ซึ่งตอนนั้นพื้นที่แถบนี้ถูกครอบครองโดยเยอรมัน คณะสำรวจนี้ทำหน้าที่เก็บตัวอย่าง พืชและสัตว์ และสำรวจภูมิประเทศไปด้วย แต่น่าเสียดายที่คณะสำรวจไปได้แค่แม่น้ำซังก้า ก็เกิดสงครามโลกครั้งที่ 1 ขึ้นซะก่อน จึงทำให้การสำรวจหยุดลง แถมเยอรมันเป็นฝ่ายแพ้อีก จึงทำให้รายงานของเลาสนิทช์ ไม่มีโอกาสเผยแพร่สู่สาธารณะชน

ต่อมา วิลลี่ เลย์ ลูกครึ่งอเมริกาเยอรมัน ได้เห็นรายงานเลาสนิทช์ แล้วสนใจจึงได้แปลออกมาให้คนอื่นรับรู้กัน ในรายงานของเลาสนิทช์กล่าวว่าได้พบสัตว์ประหลาดหลายครั้งที่แม่น้ำ Ubangi, Sanga, และ Ikelemba ในขณะที่ทำการสำรวจภูมิประเทศอยู่ และได้บรรยายถึงลักษณะของมันเอาไว้ว่า

“มันมีผิวหนังที่เรียบเป็นมันสีเทาค่อนไปทางน้ำตาล และตัวโตประมาณช้างหรืออาจเล็กกว่านิดหน่อย คอยาวและมีฟันอยู่ซี่เดียวแต่ว่ายาวมาก หางดูเหมือนจระเข้ และดูเหมือนว่ามันกำลังออกหาอาหารอยู่ โดยอาหารที่มันกินประจำคือพืช”

ปี ค.ศ.1920 ข่าวการพบตัว มาวคีลี เมมบี เริ่มหนาหู จนปลุกกระแสให้มีการออกตามล่าค้นหากันอย่างหนักในช่วงนั้น แต่คนที่ไปค้นหามันนั้นจริงๆ นั้นไม่ใช้นักวิทยาศาสตร์หรือผู้เชี่ยวชาญ แต่เป็นพวกอยากดังมากกว่า แน่นอนผลสุดท้ายคนพวกนี้ส่วนใหญ่จะคว้าน้ำเหลวกลับมา เนื่องจากคนที่ไปค้นหาเป็นคนที่เชื่อถือไม่ได้ และไม่ได้มีรายงานที่จริงจังอะไรมากนัก หลายคณะที่ออกค้นหาก็ได้มีการยอมแพ้และล้มเลิกไป สุดท้ายจนก็แทบจะลืมเรื่องราวของสัตว์ประหลาดตัวนี้ไป

ปี ค.ศ. 1935 สถาบันสมิธโซเนี่ยน เกิดสนใจที่จะศึกษาสัตว์ลึกลับตัวนี้ขึ้นมาเลยส่งนักสำรวจไปคองโก เมื่อไปถึงด่านขนาดใหญ่ริมฝั่งแม่น้ำ ไม่นานนักพวกเขาก็ได้ยินเสียงคำรามของสัตว์ชนิดหนึ่ง มันเป็นเสียงที่ไม่เคยได้ยินมาก่อน แต่น่าเสียดาย รายงานนี้หยุดลงเพียงเท่านี้ เพราะเกิดอุบัติเหตุรถไฟตกราง พลิกคว่ำครับทำให้นักสำรวจตาย 4 คน และบาดเจ็บอีกไม่น้อย ส่งผลให้การสำรวจครั้งนี้จำต้องยกเลิกไป

ปี ค.ศ.1948 นักสัตว์วิทยา อีวาน แซมเดอร์สัน (Ivan T. Sanderson) ได้เขียนรายงานออกมาอีกครั้ง มันเป็นเรื่องที่เกี่ยวกับการตามรอยสัตว์ที่ไม่สามารถระบุชนิดได้ มันมีลักษณะคล้ายไดโนเสาร์ หรือก็คือ มาวคีลี เมมบี จนทำให้เกิดการจุดประกายในการออกสำรวจกันขึ้นมาอีกครั้ง

รายงานเล่าว่า เขาและเจอรัล รัลเซลล์ นักธรรมชาติวิทยาชาวอเมริกัน กำลังนั่งเรือขุดเล็กๆ ไปที่แอ่งมัมฟี ในแม่น้ำมาอินยู ซึ่งบริเวณนี้เป็นตริ่งสูงชันเหมือนหน้าผาและมีถ้ำดินที่ถูกน้ำกัดแซะมากมาย เมื่อเขาผ่านถ้ำที่เกือบจมมิดแห่งหนึ่ง พวกเขาก็ได้ยินเสียงเหมือนมีการต่อสู้กันในถ้ำ และมีบางสิ่งที่เหมือนจะเป็นหัวขนาดใหญ่มากผุดขึ้นจากน้ำ จากนั้นครู่เดียวก็เกิดคลื่นใหญ่มากและเสียงไหลที่แสดงให้เห็นว่าตอนนี้สัตว์ยักษ์กำลังเดินจากไป

“การค้นหาต้องหยุดลงอีกช่วงหนึ่ง เนื่องจากเกิดสงครามโลกครั้งที่ 2 ทำให้สถานการณ์โลกไม่ปกติ และยังมีช่วงสงครามเย็นที่ยาวนานอีก ทำให้เรื่องราวของสัตว์ประหลาดลึกลับ มาวคีลี เมมบี ได้จางหายไปอีกครั้งหนึ่ง”

ปี ค.ศ.1960 ผู้เชี่ยวชาญด้านสัตว์เลื้อยคลาน เจมส์ เอช เพาเวล จูเนียร์ (James H. Powell Jr.) ก็มีความสนใจในตัวสัตว์ประหลาดตัวนี้เช่นกัน เขาจึงค่อยๆ สะสมเงินทุนและเริ่มออกค้นหาเจ้าสัตว์ที่ชื่อ “มาวคีลี เมมบี”

ครั้งแรกในปี 1972 และครั้งต่อมาในปี 1976 เขาได้หลักฐานและรูปถ่ายรวมทั้งร่องรอยของมันมากขึ้น และกับการสำรวจอีกครั้งในปี 1980 คราวนี้มีนักสัตว์วิทยา ดร.รอย พีแมคคาล (Roy P. Mackal) เดินทางไปด้วย และได้พบรายงานของการพบเห็นและข้อมูลอย่างมากมายที่บริเวณทะเลสาบ Tele บางรายงานกล่าวว่ามันมีขนาดความยาวจากคอหางประมาณ 25 -30 ฟุต ผิวสีน้ำตาลแก่ หรือบางรายงานกล่าวว่าเห็นหงอนกับแนวขนที่หลังของมันด้วย

Advertisements
มีรายงานอีกเป็นพันฉบับที่กล่าวว่า “มาวคีลี เมมบี” ถูกฆ่าตายไปเรียบร้อยแล้วโดยชนพื้นเมืองที่นั่น และได้นำเอาเนื้อของมันมาแบ่งกันกิน และทุกคนที่กินเนื้อของมันก็ตายเรียบไปด้วย โดยเรื่องการการตายของ มาวคีลี เมมบี จากฝีมือชนพื้นเมืองมีรายงานและจดหมายรวมไปถึงข้อมูลจากชาวเผ่าพื้นเมืองได้บันทึกเอาไว้ด้วย

แต่รายงานก็คือรายงาน มันไม่เหมือนกับการพบตัวเป็นๆ เห็นกับตา แต่การเดินทางของเขาก็ต้องล้มเหลว หลังจากที่ต่อสู้สัตว์ร้าย โรคร้ายจนเกือบตาย เขาต้องกลับบ้านไปโดยได้ข้อมูลเพียงพยานที่พบเห็นเท่านั้น

ปี ค.ศ 1963 คราวนี้ เพาเวล ยังไม่เข็ด เขาตัดสินใจเดินทางไปกาบอง คราวนี้ความหวังของเพาเวลมาจากหนังสือชื่อ เทรเดอร์ ฮอร์น เขียนโดยชาวอังกฤษชื่อ อัลเฟรด อลอยซิอุส สมิธ เขียนประมาณว่าพบเห็นเจ้าตัวนี้ที่กาบอง พาเวลเลยเชื่อและเลือกไปที่กาบองแทนที่จะไปคองโก

รอบนี้ดูเหมือนจะไม่เสียเที่ยว ดูจะใกล้ความจริงมากขึ้นเรื่อยๆ ซึ่งจากการพวกเขาที่ได้ยินรายงานการพบเห็นเกี่ยวกับมันในครั้งล่าสุด จากพยานหลายคน โดยพยานสำคัญคือหมอผีมีเชล โอเบียง หมอผีประจำเผ่าฟาง โดยการคุยกันนั้น เพาเวลนำภาพสัตว์ต่างๆ มาให้เขาดูปรากฏว่าเขาตอบชื่อสัตว์ในแอฟริกาได้หมด และเมื่อเขาลองเอาภาพหมีมาให้เขาดู หมอผีบอกว่าสัตว์นี้เขาไม่รู้จัก และคราวนี้เพาเวลเอารูปของไดโนเสาร์ดิปโลโดคัสให้ดู หมอผีก็ตอบอย่างไม่ลังเล “อืนยามาลา” นี้แหละเจ้าตัวนี้แหละ

จากนั้นเพาเวลก็ถามหมอผีว่า เคยมีใครฆ่ามันและเหลือกะโหลกไว้หรือเปล่า หมอผีตอบว่า “ไม่ อิมยามาลาเป็นเจ้าแห่งน้ำ มันไม่เคยตาย และไม่มีใครฆ่ามันได้” เพาเวลมีเวลาอยู่แอฟริกาครั้งนี้ไม่นานนัก ในที่สุดก็กลับไปบ้าน แต่กระนั้นเขาก็ได้ข้อมูลของมันเพิ่มอีกมาก

ปี ค.ศ. 1967 การสำรวจครั้งต่อมา กับคณะใหม่ วิศกรชาวเยอรมัน เฮอร์แทน รีกัสเตอร์ และภรรยาของเขาทั้งสองเดินทางไปทะเลสาบเทเล ปรากฏว่า ที่นั้นทั้งสองได้ยินเสียงสัตว์ที่ไม่รู้จักคำราม นอกจากนี้ทั้งสองอ้างว่า ได้ถ่ายรูปสัตว์ประหลาดตอนอยู่ในน้ำไว้ได้ และเห็นมันเดินบนชายหาดแล้วหายไปในพุ่มไม้ด้วย

ปี ค.ศ. 1967 เจมส์ เอช เพาเวล (ความพยายามสูง) มาสำรวจอีกครั้ง แต่คราวนี้ เขามาพร้อมกับนักสัตว์ลึกลับวิทยาด้วย ปรากฏว่าคราวนี้ได้พบร่องรอยมัน แต่เป็นคำบอกเล่าของพยานจำนวนมากอีกเช่นเคย เป็นแถบชายฝั่งลิโกอาลา-โอ-แซร์เบ ใกล้ทะเลสาบเทเลพวกเขาพูดถึงสัตว์ประหลาดขนาดใหญ่ มีสีสนิมและบางคนบอกว่ามันมีหงอนหรือครีบด้วย

ปี ค.ศ. 1968 คราวนี้รอย พี แมคคาล เดินทางร่วมกับนักสัตว์วิทยาชาวคองโก มาเซลแลง ส่วนเจมส์ เพาเวลา ผู้เคยร่วมทางกลับไม่มาด้วย และคราวนี้ประสบผลสำเร็จมากขึ้นครับเนื่องจากเขาได้ยินเสียงของสัตว์ที่เชื่อว่า เป็นไดโนเสาร์คองโก
ตามแนวฝั่งแม่น้ำลิโกอูอาลา และยังพบแนวทางที่คาดว่า มันเดินเพราะมีแต่กิ่งไม้หักๆและรอยเท้าของมันด้วย

ปี ค.ศ. 1970 รัฐบาลคองโกเห็นว่า มีนักสำรวจต่างชาติมาหาไดโนเสาร์บ่อยๆ ก็เลยอยากเอาด้วย คราวนี้พวกเขาส่งทีมงานของตนเองออกสำรวจ โดยมีมาแซลแลง อักนาญ่า นักสัตว์วิทยาชาวคองโก จากสวนสัตว์บราซซาวิล ซึ่งเคยเดินทางร่วมกับรอย พี แมคคาลชาวอเมริกันมาก่อน เดินทางไปสู่ทะเลสาปเทเล ในหน้าแล้งที่ชาวพื้นเมืองบอกว่า เห็นเจ้า มาวคีลี เมมบี ได้ดีที่สุดคืออยู่ในช่วงน้ำลด

อักนาญ่า อ้างว่า ได้เห็นสัตว์ตัวหนึ่งอยู่ในทะเลสาบ ไกลจากจุดที่เขายืน 275 ฟุต เขาว่าหัวมันมีขนาดเล็กบางสีแดง คล้ายจระเข้ มีดวงตารูปไข่ และจมูกบางสูงราว 90 เซนติเมตร สูงประมาณ 5 เมตร สีบนหลังและด้านหลังคอเป็นสีดำ ด้านหน้าเป็นสีน้ำตาล น่าจะเป็นสัตว์เลื้อยคลาน แต่ไม่ใช้จระเข้ และไม่ใช้งูเหลื่อมหรือเต่าน้ำจืดแน่ และเมื่อเขาลุยพงหญ้าออกไป

เพื่อที่จะถ่ายรูปมันชัดๆ มันก็เหลียวมาราวกับรู้ว่าเขาอยู่ที่นั้น ปรากฏว่าหนึ่งในทีมงานของเขา เกิดร้องตกใจขึ้นมา มันเลยดำน้ำหายไป ..สรุปไม่ได้อะไรเลย

ปี ค.ศ. 1972 -1973 ข่าวการพบตัวมาวคีบี เมมบี กลับมาดังอีกครั้ง และเป็นที่สนใจในวงกว้าง ใครต่อใครก็อยากไปหาเจ้าไดโนเสาร์คองโกกันยกใหญ่ ก็เลยมีคณะสำรวจระหว่างอังกฤษกับคองโกขึ้น โดยชาวอังกฤษชื่อวิลเลี่ยม เจ กิบบอนและคณะ ได้เดินทางมาหมู่บ้านโบฮา แล้วเดินไปดูทะเลสาบขนาดเล็ก สามแห่ง ซึ่งเชื่อกันว่าเป็นบ้านที่แท้จริงของ มาวคีลี เมมบี จากนั้นทั้งคณะก็เฝ้ารอมันเป็นเวลา 55 วัน แต่ก็ไม่พบสัตว์ที่พวกเขาต้องการตัวแต่อย่างใด

แต่วิลเลี่ยมก็ไม่เสียเวลาเปล่า ภายหลังเขานำซากลิงลึกลับ ที่ไม่สามารถบอกได้ว่าเป็นลิงชนิดไหนกลับอังกฤษด้วย ซึ่งต่อมามีการจัดตั้งชนิดใหม่เป็นชนิดลิงหางยาว นอกจากนี้ก็ยังมีตัวอย่างปลาและแมลงที่พบในคองโก อีกหลายชนิดที่ไม่เคยเห็นมาก่อน ซึ่งเขาได้นำกลับมาด้วย

ปี ค.ศ. 1974 -1975 นอกจากชาวตะวันตก ชาวญี่ปุ่นก็แสดงความสนใจเรื่อง มาวคีลี เมมบี เช่นกัน พวกเขาจัดคณะเพื่อสำรวจคองโกถึงสองครั้ง โดยมี ฮิเดยุกิ ทากาโนะ กับ โตรุ มูกาอิ จากมหาวิทยาลัยวาเซดะ และมี ดร. อักนาญ่า และ ฌองนี่ เป็นที่ปรึกษา การเดินทางครั้งแรกล้มเหลว ไม่ได้อะไรเลย

ปีต่อมาพวกเขาสามารถถ่ายวีดีโอ สิ่งมีชีวิตที่ทะเลสาบเทเล แต่ภาพมันมัวมาก จนไม่อาจชี้อะไรมากนัก ว่ามันมีจริงหรือไม่ ภาพถ่ายจากระยะไกลและมันก็แตก ดูเหมือนชายสองคนอยู่บนเรือมากกว่า !! แต่ถึงแม้มันจะไม่ชัด แต่ก็นับได้ว่าวีดิทัศน์ม้วนนี้ ถือว่าเป็นหลักฐานอีกชิ้นที่เป็นเครื่องยืนยันว่ามี มาวคีลี เมมบี อยู่จริง .. มีคลิปช่วยกันยืนยันหน่อย

เล่ามาซะยาว ผมว่าเรื่องของ มาวคีลี เมมบี มันสมจริง จนทำให้คิดว่ามีอยู่จริงยิ่งกว่าสัตว์ประหลาดแห่งล็อกเนสส์ เหตุเพราะมีการสำรวจหลายครั้ง และด้วยความที่เป็นพื้นที่เข้าถึงยากมาก มันก็เลยเป็นไปได้ที่จะมีตัวอะไรแปลกๆ ที่มนุษย์อธิบายไม่ได้อาศัยอยู่ โดยเฉพาะเมื่อมันอยู่ในน้ำ

สรุปคือสัตว์ประหลาดตัวนี้อาจมีอยู่จริง หรือไม่มีจริงก็เป็นได้ .. และเรื่องราวของมาวคีลี เมมบี ได้ถูกอ้างอิงในภาพยนตร์ ปี ค.ศ. 2012 เรื่อง The Dinosaur Project

คลิปเดียวที่ถูกถ่ายเอาไว้ (อาจไม่ใช่ของจริง)

Advertisements

อ่านเรื่องอื่น

แคสโซแวรี สัตว์โบราณ นกที่ได้ชื่อว่า ‘อันตรายที่สุดในโลก’
12 สัตว์ที่เป็นดังเหมือนคืนชีพมาจากบ่อลาซารัส Lazarus
Advertisements