ตอนที่ 17 ผจญภัยในป่าใหญ่ : การขอขมา

กลิ่นหอมจางๆ ของดอกไม้ชนิดหนึ่ง ลอยมากระทบจมูกของเขาอย่างบังเอิญ กลิ่นนี้มันช่างคุ้นเคยเหมือนเขาเคยได้กลิ่นนี้ที่ไหนมาก่อน ใช้แล้วกลิ่นหอมของหล่อน หล่อนที่มาให้เขาเห็นในนิมิต และหล่อนคนที่ทำให้เขาต้องเดินบุกป่ามาเพียงลำพัง จะด้วยความฝันเพ้อเจ้อของเขาเอง หรือจะเป็นเพราะเจ้าป่าเจ้าเขามาสำแดงเดชก็ไม่ทราบได้

แต่ที่แน่ๆ กลิ่นนี้มันชัดเจน และเป็นกลิ่นที่เขาจดจำได้แม้จะได้กลิ่นเพียงแค่ครั้งเดียว แต่เพราะเป็นคนไม่ค่อยจะเชื่อเรื่องอะไรแบบนี้สักเท่าไหร่ เพราะอีกใจก็คิดว่ามันน่าจะเป็นกลิ่นดอกไม้ป่า ครั้นเดินสำรวจไปรอบๆ ก็ไม่เห็นที่มาของกลิ่น แต่พอชายหนุ่มเงยหน้าขึ้นไปสำรวจบนต้นตะเคียนยักษ์ ก็ทำให้เขายิ้มกับความคิดตีโพยตีพายของเขาไปเองว่าเป็นกลิ่นของนางไม้ ช้างกระกอใหญ่นี้เอง ที่ส่งกลิ่นหอมตระหลบอบอวนไปหมดทั้งบริเวณ

ชายหนุ่มทรุดกายลงนั่งบนหินราบเรียบก้อนหนึ่งไม่ห่างจากโคนตะเคียนใหญ่มากนัก เขานั่งคิดถึงเหตุการณ์เมื่อคืนที่ผ่านมา คงเป็นความฝัน ความฝันที่เขานึกเห็นขึ้นมาเองเสียมากกว่าที่มันจะเป็นเรื่องจริง เป็นความฝันซ้อนฝัน ที่เขาเองก็อยากจะอธิบายให้คนอื่นเข้าใจ แต่ไหนๆก็เดินถือถาดเครื่องเซ่นมาตั้งไกลโข จะหิ้วกลับก็ใช่ที่ และเพื่อความสบายใจของตัวเขาเองด้วย ที่สัญญากับนางตะเคียนในฝันไปแล้วใครจะว่าบ้าก็ยอม

ชายหนุ่มค่อยๆ วางถาดเครื่องเซ่นอย่างถนอมบนลานหินนั่น เพื่อจะถอดปืนยาวของเขา ที่สะพายมาด้วยออก โดยนำปืนยาวกระบอกนั้นมาวางนอนข้างๆตัว จากนั้นก็เดินไปแบกก้อนหินที่มีลักษณะแบนก้อนเขื่อง ไปวางไว้ใต้โคนตะเคียนนั้น โดยใช้ก้อนหินเท่ากำมือมาวางรองอีกที ทำเสมือนว่า ก้อนหินแบนก้อนนั้นเปรียบเสมือนโต๊ะวางกับข้าว

เมื่อตรวจดูว่าไม่กระดก และแข็งแรงดีแล้ว ชายหนุ่มก็วางถาดเครื่องเซ่นบนแท่นหิน หรือโต๊ะอาหารจำเป็น แถมด้วยจอกไม้ไผ่ที่ด้านท้ายทำเป็นที่ปักดิน ซึ่งภายในจอกน้ำนั้นมีเหล้าป่าใสแจ๋วอยู่เต็ม ชายหนุ่มนั่งคุกเขา แล้วรวมรวมสมาธิ ก่อนจะหลับตาพร้อมยกมือพนมอธิฐานจิต แล้วพูดออกมาว่า

ถึงเจ้าแม่ตะเคียน และเจ้าป่าเจ้าเขา ที่ปกปักษ์รักษาผืนป่าแห่งนี้สิงห์ยุด แล้วสูดลมเข้าปอดลึก แล้วพูดต่อมาอีกว่า

ลูกช้างได้นำเครื่องเซ่น ทั้งของคาว และของหวาน มาถวาย เพื่อเป็นการขอขมา ต่อเจ้าแม่ตะเคียน และเจ้าป่าเจ้าเขา ตามที่ลูกช้างได้สัญญาไว้ ซึ่งลูกช้างและคณะของลูกช้าง อาจทำการณ์ไม่ดี โดยตั้งใจก็ดี ไม่ตั้งใจก็ดี ขอให้เจ้าแม่ตะเคียน และเจ้าป่าเจ้าเขา โปรดอย่าได้ลงโทษลูกช้าง และคณะของลูกช้างเลยสิงห์นิ่งไปอึดใจแล้วกล่าวทิ้งท้ายต่ออีกว่า

คณะของลูกช้าง และตัวลูกช้างเอง ไม่มีเจตนาอันเป็นการลบหลู่ต่อสิ่งสักสิทธิ์ที่ปกป้องผืนป่าแห่งนี้ ลูกช้างและคณะเข้ามาเพื่อการณ์ท่องเที่ยว ขอให้เจ้าแม่ตะเคียนและเจ้าป่าเจ้าเขาได้โปรดช่วยคุ้มครอง ให้คณะของลูกช้าง และตัวลูกช้าง จงอย่าได้พบปะอันตรายใดๆจากป่าแห่งนี้เลย….สิงห์พูดจบก็ก้มลงกราบ

คงจะเสร็จพิธีแล้วสินะชายหนุ่มนึกอยู่ในใจ แล้วปล่อยลมฟู่ออกจากปาก อย่างโล่งอก ก่อนจะค่อยๆลุกขึ้นยืน

หลังจากสำรวจดูความเรียบร้อยของเครื่องถวาย ว่าจะไม่มีอะไรทำให้ล้มคว่ำไปเสียก่อน สิงห์ก็เดินพละไปจากที่แห่งนั้น อย่างไม่รีบร้อนอะไรนัก ก่อนที่จะก้าวมุดซุ้มเถาวัลย์ เขาก็หันมามองจุดวางเครื่องเซ่นและต้นตะเคียนยักษ์อีกครั้ง แล้วก็หันหลังเดินกลับแค้มป์ทันที

ทุกก้าวย่างของชายหนุ่ม เต็มไปด้วยอาการครุ่นคิด ในความสับสนวุ่นวายอยู่ในหัวของเขา เหตุการณ์เมื่อคืนมันเป็นยังไงมายังไงกันแน่ ยากนักที่เขาจะกลับไปอธิบายให้คนในคณะรับฟังได้ ครั้นถ้าเล่าไปแล้ว คนกะเหรี่ยงบ้านป่า ก็มีความเชื่อเรื่องผีสางนางไม้อยู่เป็นทุนเดิมอยู่แล้ว ขืนเล่าไปมีหวังคงอกสั่นขวัญแขวนไม่ออกเดินทางต่อคงยุ่งเลย ก็คงต้องเก็บเรื่องนี้เป็นความลับต่อไป

ตัดมาที่แค้มป์ พรานเบ พรานพร และพรานแปะ กลับมาถึงที่พักหลังจากสิงห์เดินหายเข้าป่าไปไม่เกิน 10 นาที ซึ่งพรานทั้งสามไม่มีอะไรติดไม้ติดมือมาเลย นอกจากปืนและของใช้จำเป็นไม่กี่อย่าง ที่ติดตัวตอนไปนั่งห้าง โดยเฉพาะพรานเบ และพรานพร ที่น่าจะเหนื่อยกว่าเขาเพื่อน เพราะไปนั่งทรมานมาทั้งคืน ส่วนพรานแปะ หลังจากช่วยพรานโส่ยชำแหละตะพาบ และกบแล้ว ก็ออกหายิงนกยิงหนูตามประสา แต่ก็ไม่ได้อะไรมาเลยเช่นกัน

สิงห์มันไปไหนล่ะตาโส่ยพรานเบร้องถาม

มันเอาของเซ่นไปไหว้เจ้าป่า ที่ตะเคียนใหญ่โน่น เดี๋ยวมันก็มาพรานชราร้องตอบ

หา…แกจะบ้ารึ ปล่อยไอ้สิงห์มันไปคนเดียวได้ยังไง เดี๋ยวได้หลงป่าล่ะยุ่งตายเลย พรานพรพูดอย่างร้อนรน

ไปแค่ใกล้ๆแค่นี้เอง เอ็งก็เห็นมันเป็นเด็กๆไปได้ อีกอย่างมันก็เดินเลาะไปตามลำห้วยนี้ล่ะ ขากลับมันก็ต้องล่องกลับมาตามลำห้วยเดิมพรานเฒ่าพูดจบก็บ้วนน้ำหมากลงพื้น

ถ้ามันเซ่อซ่าหลังทิศหลงทาง กะอีแค่เดินทวนน้ำกะตามน้ำ ง่ายๆแค่นี้แล้วทะลึ่งหลง ก็ปล่อยให้มันหลงเสียให้เข็ด ฮาๆพรานชราพูดจบก็หัวเราะจนเห็นฟันดำปี๋

ไอ้สิงห์มันคงไม่หลงง่ายๆหรอก ไอ้พร ข้าก็ว่าแบบเดียวกับตาโส่ย มาเที่ยวป่าก็หลายครั้งหลายหน มันคงไม่หลงง่ายๆหรอกมั้งพรานเบพูดจบก็เดินถือผ้าขาวม้าลงไปที่ชายห้วย

แล้วพวกเอ็งกินข้าวกินปลากันยังล่ะพรานพรหันไปร้องถามเจ้าพุ่มและเจ้าเคิ้งที่ ตอนนี้กำลังนอนเล่นบนเปลอย่างสบายใจ

ยังเลย ว่าจะรอกินพร้อมพี่สิงห์เขา อีกอย่างผมยังไม่ค่อยหิวเคิ้งร้องตอบ

สิงห์มันบอกว่า ถ้าหิวก็กินกันก่อนไม่ต้องรอมันเหน๋อร้องเสริมมาอีกคน

แล้วทำอะไรกินกันล่ะพรานพรร้องถาม

แกงตะพาบ ยำกบ ปลาย่างกับน้ำพริกเผา ออ..มีมันเชื่อมด้วยพรานโส่ยร้องตอบ

ดีจริงเว้ย อยู่ป่าอยู่ดงแบบนี้ยังมีมันเชื่อมให้กินอีกพรานแปะพูดจบก็เดินไปเปิดฝาหม้อต้มมันดู

แล้วไปเอามันเทียนมาจากไหนล่ะ ใครหามา พรานแปะร้องถาม

จะมีใครล่ะ ก็ไอ้สองตัวนี้ล่ะ ข้าให้มันไปหาตัดยอดหวายมาแกงตะพาบ ดันถ่อไปขุดหัวมันพรานโส่ยพูดจบก็ซุนท่อนฟืนเข้าไปในกอง

รอไอ้สิงห์มันกลับมาค่อยกินพร้อมมันก็ได้ ข้ายังไม่หิวหรอกพรานชราพูดพลางนั่งม้วนยาเส้นไปพลาง

จะไปหิวอะไร ล่อมันเผาไปตั้งหลายหัว ฮ่าๆเจ้าพุ่มพูดจบก็รีบกระโจนลงจากเปลแทบไม่ทัน เพราะไม่กี่อึดใจท่อนฟืนดุ้นเขื่องก็ลอยมาที่เปลของมันพอดี

นั้นไง ข้าว่าแล้วเดี๋ยวมันก็มา โน่นโผล่มาโน่นแล้ว พรานเฒ่าพูดจบก็บุ้ยปากไปที่ชายป่าริมห้วยเมื่อเห็นร่างของชายหนุ่มค่อยๆเดินแหวกดงกระวานออกมา

มาโว้ย ไอ้พุ่ม ไอ้เคิ้ง เอ็งสองคนมาช่วยข้าปูผ้าใบ จะได้กินข้าวกินปลากัน ไอ้เบกับไอ้พรคงหิวแย่พรานชราพูดจบก็เดินไปหยิบผ้าใบ ที่เหน็บอยู่ที่ง่ามไม้

เป็นยังไงบ้านพี่พร ได้อะไรมาหรือเปล่าสิงห์ร้องถามพรานพร ที่กำลังนั่งจิบกาแฟอยู่

ไม่ได้อะไรเลย เจอแต่กระจงมาวิ่งเล่นสามสี่ตัวพรานพรจบก็ยกกาแฟขึ้นดื่มอึกสุดท้าย

ถ้ามีลูกกรดของเอ็งไปด้วยคงจะได้ตัวพรานพรพูดจบก็ยกน้ำในจอกขึ้นดื่มล้างคอ

แล้วพี่แปะล่ะ ได้อะไรมาบ้างเห็นไปตั้งแต่ผมยังไม่ตื่นสิงห์ร้องถามพรานแปะ ที่ตอนนี้กำลังยกหม้อสนามขึ้นมาวางกลางลานผ้าใบ

ไม่ได้อะไรเลย เจอไก่ฟ้า กับกระรอกดง แต่ยิงไม่ทันพรานแปะพูดจบก็ค่อยๆงัดฝาหม้อสนาม ที่ภายในมีข้าวสวยร้อนๆรอคอยอยู่

เอ็งมาก็ดีแล้วไอ้สิงห์ จะได้กินข้าวกินปลากันเลย กี่โมงแล้วล่ะนั่น พรานโส่ยร้องถาม

เก้าโมงจะครึ่งอยู่แล้ว ฮาๆ รอผมนานหรือเปล่า คงหิวกันแย่ บอกแล้วว่าให้กินกันก่อนเลยไม่ต้องรอสิงห์พูดหลังจากยกนาฬิกาขึ้นดู พูดจบก็ยืนเกาหัวแกรกๆ

ก็ไม่ได้รออะไรนานหรอก ไอ้สามตัวนี้ มันก็เพิ่งจะมาถึงก่อนเอ็งไม่เท่าไหร่พรานโส่ยพูดจบก็ใช้ช้อนตักข้าวใส่จาน

แล้วทางน้าเบล่ะ ไม่เจออะไรเลยรึสิงห์ร้องถาม พรานเบที่ตอนนี้กำลังเอาผ้าขาวม้ามาตากที่เชือกเปล

เจอ เก้งแม่ลูกอ่อน คู่เดียว แต่ข้าไม่ได้ยิงมันหรอกพรานเบพูดจบก็เดินมาที่วงข้าว

ดีแล้วอย่าไปทำมันเลย ยิงแม่มันมา ลูกมันก็คงไม่รอดพรานเฒ่าพูดจบก็ตักข้าวเข้าปาก

อ้าว..แล้วน้ำพริกเห็นว่าจะหมดแล้วนี้ แล้วใครตำใหม่ล่ะสิงห์พูดจบก็ม้วนยอดผักกูดจิ้มน้ำพริกเผาเข้าปาก

ข้าเอง เห็นมันพร่องลงไปเยอะ ข้าอยู่ว่างๆก็เลยตำใหม่ อยู่ในกระปุกอีกเกือบเต็มพรานชราพูดจบก็ตักยำกบมาคลุกกับข้าวสวย
อาหารเช้าที่มากินเอาเกือบสิบโมง เต็มไปด้วยความเอร็ดอร่อย ทั้งแกงตะพาบใส่ยอดหวายและหยวกกล้วยป่า แถมยังมียำกบของสิงห์อีกจานใหญ่ ซึ่งมีผักป่านานาชนิดมาเป็นเครื่องเคียง ไม่ว่าจะเป็น ยอดมะกอกป่า ผักหนาม ผักกูด ชะพลู ที่สามารถกินคู่กับยำกบ และน้ำพริกเผาอีกถ้วยได้อย่างลงตัว หนำซ้ำยังมีหมกปลาอีกห่อใหญ่ ซึ่งทั้งหมดนี้ล้วนได้มาจากธรรมชาติ โดยทุกคนช่วยกันเสาะแสวงหาเอามาประทังชีวิตได้อย่างไม่ยากเย็นนัก เพียงแต่ใช้ทักษะของแต่ละคน ว่าจะถนัดในด้านไหน

เพียงไม่ถึงครึ่งชั่วโมงข้าวในหม้อสนามทั้งสามใบ รวมทั้งแกงตะพาบ ยำกับ หมกปลา และน้ำพริกเผา ก็หมดไม่มีเหลือ ทุกคนกินจนลืมอิ่ม อาจจะเป็นเพราะความหิวและบรรยากาศด้วยก็ได้ จึงทำให้ทุกอย่างที่กินดูเอร็ดอร่อยไปเสียหมด แม้แต่ผักเปล่าๆก็ยังมีความรู้สึกหวานกรอบโดยที่ไม่ต้องอาศัยน้ำพริกเลย

อย่าลืมมันเชื่อมเสียล่ะ อุตส่าห์ทำให้กินสิงห์ร้องบอก

เออวะ ข้าก็เกือบลืมเสียสนิท เหน๋อร้องตอบ พูดจบก็ยกน้ำในจอกไม้ไผ่ขึ้นดื่ม

แล้วเราจะเริ่มเดินทางกันต่อเมื่อไหร่ น้าเบสิงห์ร้องถามพรานเบ ที่ตอนนี้นอนสูบบุหรี่ใบตองแห้งบนเปล

ข้าว่าตะวันตรงหัวก็ไปกันต่อดีกว่าพรานเบร้องตอบหลังจากพ่นควันยาเส้นขึ้นฟ้า

เหลือเวลาอีกเกือบ สองชั่วโมงสิงห์พูดจบหลังจากยกนาฬิกาขึ้นดู

พอมีเวลานั่งพักเอาแรง ใครว่างๆก็เตรียมเก็บข้าวเก็บของแล้วกันพรานแปะร้องตอบมาอีกคน

น้ำพริกข้าตำเพิ่มไว้แล้วอีกกระปุก อย่างน้อยๆอยู่ได้อีก สองถึงสามวันพรานชราพูดจบก็ตักมันเชื่อมเข้าปาก

เสียดายเมื่อคืน ถ้าข้าเอาปืนของไอ้สิงห์ไป อย่างน้อยๆ ก็ได้กระจงมากินแล้วพรานพรพูดอย่างเสียดาย

ก็เอ็งไม่เอาไปเองนี้หว่าพรานเบร้องตอบ

ก็ใครจะไปรู้ว่ามันจะมาวิ่งเล่นใต้ห้างข้าเยอะแยะขนาดนั้น ว่าจะยิงด้วยลูกซองก็คงไม่เหลืออะไรให้กิน เพราะเละหมดพรานพรพูดจบก็ม้วนบุหรี่ใบตองแห้ง

ข้าก็เกือบล่อแม่เก้งมาแล้ว ดีที่เห็นลูกมันกระโจนออกมา เลยไม่คิดจะยิงมันพรานเบพูดจบก็ยกปืนลูกซองออกมาตรวจดู

ดีแล้วน้าเบ สงสารมัน ยิงแม่มันตายลูกมันก็คงไม่รอดสิงห์หันไปตอบ

แสงแดดยามสายส่องลอดช่องใบไม้มาเป็นลำ ละอองหมอกที่ดูหนาทึบเมื่อตอนเช้า ครั้นเมื่อต้องแสงแดดมากเข้าก็ระเหยหายไปหมด ป่าที่ดูทึบทะมึน ก็กลับมาสว่างไสวอีกครั้ง เสียงนกกานานาชนิด เริ่มส่งเสียงเจื้อยแจ้ว ดังลั่นป่าไปทุกทิศทุกทาง เสียงร้องรัว ของนกกระทาดง ดังมาจากหุบไหนสักแห่งไกลออกไป

รวมถึงไก่ป่าที่นานๆครั้งก็ร้องขันออกมาสักทีหนึ่ง เสียง ซี๊ดๆ ของแมลงและจักจั่น ก็พากันกรีดปีกผสานเสียงกันดังไปหมด ป่าที่ดูเงียบเหงาเมื่อตอนค่ำ ราวกับป่าช้า ทั้งวังเวง และน่ากลัว แต่เมื่อมีแสงสว่างและไออุ่น ป่าที่ดูเหมือนว่าจะไม่มีสิ่งมีชีวิตอยู่เลย ก็กลับมามีชีวิตชีวาอีกครั้ง

หลังจากพักเอาแรกกันพอสมควร ทุกคนก็ช่วยกันเก็บข้าวของ เจ้าพุ่มและเจ้าเคิ้ง สองกะเหรี่ยง หลังจากกวาดเศษข้าวมาคลุกกับน้ำแกงให้หมาสองตัวเสร็จ ก็ช่วยกันนำถ้วยจานลงไปล้างที่ริมห้วย พรานแปะและพรานพร ช่วยกันจัดเก็บของบนร้านวางของ

ส่วนลุงโส่ยกับเหน๋อ ช่วยกันพับเก็บผ้าใบที่นำมาปูพื้นและทำหลังคา พับเก็บใส่ถุงปุ๋ยอย่างเรียบร้อยที่สุด พรานเบก็ไม่ได้อยู่เฉย เพราะแกบรรจงห่อปลาย่างและกบย่าง ที่มีอยู่หลายไม้ ด้วยใบตองอย่างดี เพื่อเก็บไว้เป็นเสบียงในมื้อต่อไป โดยไม่ต้องกลัวว่ามันจะเน่าเสีย เพราะพรานโส่ย ย่างไว้อย่างดี อย่างน้อยๆก็เก็บไว้ได้ถึง สามวัน สำหรับสิงห์หลังจากพับเก็บเปลสนามของตัวเองเรียบร้อย ก็พรากไฟในกองไม่ให้มันลุกลามไปที่อื่น เพราะถ้าเกิดเป็นไฟป่าขึ้นมา ก็ไม่ต้องคิดหวังว่าจะดับได้

เมื่อทุกคนพร้อม คณะท่องไพร ก็ออกเดินทางอีกครั้งเมื่อดวงอาทิตย์ขึ้นตรงหัวพอดี จุดหมายปลายทางเบื้องหน้าจะยากลำบากอย่างไร ไม่อาจทราบได้ แต่พวกเขาเหล่านั้นยินดีและยินยอมที่จะเผชิญกับมัน โดยไม่คิดเกี่ยงงอนแม้แต่นิดเดียว เพราะเขาได้เลือกมันแล้ว เลือกที่จะลำบาก เลือกที่จะเผชิญ มีเพียงโชคชะตาและแรงศรัทธาเท่านั้น ที่พอจะเป็นกำลังใจให้เดินทางต่อไปอย่างไม่ย่อท้อ

ตอนที่แล้ว

ตอนต่อไป

Advertisements
แหล่งที่มาหนุ่มธุดงค์ไพร