ตอนที่ 28 ผจญภัยในป่าใหญ่ : ฝูงช้างป่า

กองไฟกองใหญ่ที่เคยส่องแสงสว่างโพลง มาบัดนี้เหลือเพียงถ่านแดงๆ ที่มีแต่กองขี้เถ้าปกคลุมอยู่หนาเตอะ หลังจากชายหนุ่มนำกิ่งไม้แห้งกิ่งเล็กๆคุ้ยเขี่ยกองขี้เถ้านั้น ก่อนที่จะนำเศษกิ่งไม้มากองสุม เพียงไม่นานหลังจากใช้ลมเป่าไม่กี่ครั้ง เปลวไฟก็ลุกพรึบขึ้นมาทันที ถึงตอนนี้ท่อนฟืนขนาดใหญ่ลดหลั่นกันไปก็ถูกสุมขึ้นมาอีกครั้ง จนบริเวณที่พักสว่างไสวไปทั่ว เมื่อแดงแสงสว่างและความอบอุ่น ป่าบริเวณรอบตัวก็ดูไม่มีพิษมีภัย

ช้างป่า

เสียงกิ่งไม้แห้งและท่อนฟืนไหม้ไฟดัง เปรี๊ยะ ส่งควันและสะเก็ดไฟโพยพุ่งขึ้นไปบนท้องฟ้า ซึ่งตอนนี้สว่างไสวไปด้วยหมู่ดาวน้อยใหญ่ และดูเหมือนว่า ดวงดาวบนนั้นจะสว่างสดใส่กว่าที่เคยเห็นมา อาจเป็นไปได้ที่ทั้งคณะมาตั้งแค้มป์กันบนเนินสูง ทำให้หมู่ดาวที่เห็นอยู่ใกล้แค่เอื้อม

เวลาผ่านไปนานเท่าไหร่ไม่ทราบได้ ที่ชายหนุ่มยังนั่งกอดเข่าผิงไฟอยู่เช่นนั้น เหมือนจะตกอยู่ในภวังค์หรือไม่ก็เคลิ้มๆเหมือนว่าจะหลับ ทันใดนั้นเหมือนหูของเขาจะแว่วเสียงอะไรบางอย่า ดัง เปรี๊ยะ ติดตามมาด้วยเสียง ซ่า แรกๆก็คิดว่าคงเป็นเสียงฟืนในกองไฟเสียมากกว่าจึงไม่นึกเอะใจอะไร แต่หลังจากนั้นก็มีเสียงดัง โพล๊ะ ตามมาอีก ทำให้ชายหนุ่มหูผึ่งขึ้นมาทันที รวมทั้งหมาสองตัวที่นอนขดอยู่ข้างๆก็ลุกพรวดพราดขึ้นมาจ้องไปยังตำแหน่งของเสียง พร้อมกับเสียงครางเหมือนจะขู่อยู่ในลำคอ เพราะเสียงที่ได้ยินนั้น มันดังมาจากชายดงทึบเบื้องล่างนี้เอง และทำท่าว่าจะใกล้เข้ามาเรื่อยๆ

สงสัยจะช้างป่า เสียงที่ดังออกมาไม่ใช่ใครที่ไหน เป็นเสียงของพรานเบ ที่ไม่รู้ว่าตื่นขึ้นมาตอนไหน

ท่าจะไม่ดีเสียแล้ว

เอ็งเตรียมปลุกพวกเราดีกว่า พรานเบพูดออกมาเรียบๆไม่มีอาการตื่นเต้นใดๆทั้งสิ้น ผิดกับสิงห์ที่ตอนนี้มีอาการกระวนกระวายอย่างเห็นได้ชัด แต่ก็มีสติดี เมื่อได้รับคำสั่งเช่นนั้นชายหนุ่มจึงเดินไล่ปลุกเหล่าพรานกะเหรี่ยงทุกคนที่พากันนอนในโปรงผ้าห่ม เริ่มคนที่อยู่ใกล้ตัวที่สุดคือพรานโส่ย ที่นอนบนผ้าใบใกล้ๆกองไฟ แต่ยังไม่ทันที่ชายหนุ่มจะเดินไปปลุก พรานชราก็ลุกขึ้นมานั่ง

เอาไงดีไอ้เบ มันหากินอยู่ข้างล่างนี้เอง พรานชราร้องบอก

ตื่นเว้ย พ่อมึงมาเยี่ยมแล้ว พรานโส่ยพูดพลางใช้ขากระทุ้งสีข้างเจ้าพุ่มและเจ้าเคิ้ง ที่ตอนนี้นอนหลับไม่รู้เรื่อง ส่วนสิงห์เดินไปเขย่าปลุกเหน๋อเช่นกัน กว่าจะปลุกให้
ตื่นได้เล่นเขย่าเสียจนเปลเกือบขาด ส่วนพรานพรและพรานแปะ คงตื่นขึ้นมาหลังพรานเบนิดหน่อย ชายทั้งสองต่างเดินมารวมกลุ่มกับพรานเบ เหมือนจะปรึกษาอะไรกันอย่างเงียบๆ

ช่วยกันสุมไฟให้สว่างๆเข้าไว้

ถ้ามันได้กลิ่นควันไฟ หรือเห็นแสงไฟ มันคงจะไม่ขึ้นมาทำอะไรเรา

เสียแต่ว่ามันจะมาหาเรื่องพวกเรา ประโยคสุดท้ายของพรานเบ ทำเอาสิงห์เสียวสันหลังวาบ เมื่อได้คำแนะนำเช่นนั้น ทุกคนต่างช่วยกันลากท่อนฟืนมาสุมไฟกันยกใหญ่ นอกจากกองไฟกองใหญ่ที่อยู่กลางลานแล้ว ทางริมชายป่าด้านหน้า พรานพรยังก่อไฟกองใหญ่ขึ้นอีกกอง ทำให้บริเวณนั้นสว่างไสวไปหมด

เสียงกิ่งไม้หัก และเสียงหินพลิกไปมาดังกึกกัก ยังคงแว่วให้ได้ยินอยู่เป็นระยะๆ รวมทั้งเสียง แอ้ เบาๆ และบางครั้งก็ได้ยินเสียงพวกมันดึงกิ่งไม้ลงมาเคี้ยว แต่จนแล้วจนรอดช้างป่าโขลงนั้นก็ไม่มีท่าทีที่จะบุกขึ้นมายังที่พักของคนทั้งแปด แต่ถึงกระนั้น พรานเบก็ไม่ประมาท จึงสั่งให้ทุกคนเตรียมเก็บข้าวของเผื่อเอาไว้และเตรียมดูทางหนีทีไล่ เผื่อมีเหตุการณ์ไม่คาดคิดขึ้น จะได้มีลู่ทางหลบเลี่ยงได้ทัน

สงสัยจะมีลูกอ่อนอยู่ด้วย

ดูท่าทางน่าจะกำลังซน พรานชราพูดออกมาเบาๆ พลางยืนมองออกไปทางเสียงที่แว่วมาเป็นระยะๆ

ดีแล้วที่มันไม่ขึ้นมาเล่นสนุกกับพวกเรา สิงห์กระซิบ

ถ้าเป็นแบบที่เอ็งว่า เตรียมวิ่งป่าราบกันได้เลย

เพราะแม่ของมันคงตามมาด้วย พรานแปะร้องบอก

แล้วจะเอายังไงกันดีพวกเรา

จะยืนลุ้นกันแบบนี้รึ? สิงห์พูดพลางหันไปมองคณะทุกคน

ข้าว่าพวกมันคงไม่ขึ้นมากวนพวกเราหรอก

ดีไม่ดีคงได้กลิ่นควันไฟของเราแล้วก็ได้ พรานเบพูดจบก็มวนยาเส้นขึ้นสูบ

แล้วนี่มันจะอยู่กดดันเราอีกนานหรือเปล่า

จะเที่ยงคืนอยู่แล้ว ขืนยังอยู่แบบนี้ไปยันเช้า สงสัยเราจะแย่เพราะไม่ได้หลับไม่ได้นอน สิงห์พูดหลังจากยกนาฬิกาขึ้นดู ซึ่งตอนนี้เข็มชี้บอกเวลาที่ 23.50 น.

พี่ว่ามันคงไม่ขึ้นมาทางนี้แล้วล่ะ

หรือถ้าจะให้ดี แบ่งคนผลัดกันอยู่ยามก็ได้ เอ็งล่ะว่าไง ประโยคหลังพรานพรหันไปร้องถามพรานเบที่ตอนนี้ยืนสูบบุหรี่ยาเส้น

ตามที่เอ็งว่ามาก็ได้ ผลัดละสองคนแล้วกัน

พวกเรามีกันแปดคน อยู่ผลัดละสองสามชั่วโมงก็พอ

ผลัดละสองสามคนก็ได้สามผลัด นี่ก็ค่อนคืนเข้าไปแล้ว อีกไม่กี่ชั่วโมงก็เช้า พรานนำทางร้องบอก

ข้าอยู่ผลัดแรกเอง ใครจะอยู่คู่กับข้าบ้าง พรานเบร้องเสริม

ข้าเอง พรานพรร้องตอบ

ผมขออยู่ด้วยอีกคน นั่งตาสว่างมานานแล้ว เห็นทีจะนอนไม่หลับ สิงห์เสนอตัว
เมื่อได้ข้อตกลงกันเป็นที่เรียบร้อย สรุปได้ว่าทั้งคณะสามารถแบ่งกันอยู่ยามได้สามกลุ่มด้วยกัน ผลัดแรกมีพรานเบ พรานพร และสิงห์อยู่ยามถึงตีสอง ต่อจากตีสอง มีพรานแปะ กับพรานโส่ยอยู่ถึงตีสี่ และผลัดสุดท้าย มีเหน๋อกับเจ้าพุ่มและเจ้าเคิ้ง เริ่มตอนตีสี่ถึงฟ้าสาง ส่วนใครที่อยากอยู่ต่อหรือนอนไม่หลับ จะนั่งอยู่ยามเป็นเพื่อนก็ไม่มีใครว่า

หลังจากปรึกษาหารือกันเรียบร้อย ทุกคนก็พากันแยกย้ายออกไปพักผ่อน และเพื่อเป็นการณ์ไม่ประมาท สิ่งของสำภาระต่างๆ ของแต่ละคน จึงถูกเก็บเรียบร้อย ร่วมทั้งเครื่องครัวและเสบียงต่างๆ ก็ถูกรวบรวมไว้เช่นกัน มีเพียงผ้าใบและเปลนอนของแต่ละคนที่ยังคงอยู่ในสภาพเดิม เพราะต้องเตรียมตัวเอาไว้ก่อน เผื่อมีเหตุการณ์ฉุกเฉินอะไรขึ้นมา ทุกคนจะได้จับฉวยได้ทันการณ์

ท่ามกลางความหนาวเย็น และเสียงของช้างโขลงที่ยังแว่วให้ได้ยินเป็นระยะๆ ทั้งเสียงหักกิ่งไม้ใบหญ้า เสียงเดินย่ำพื้นที่เต็มไปด้วยกรวดหิน และในเวลาที่เงียบสงัดก็แว่วเสียงน้ำในท้องของพวกมันลั่นดังโขลกขลาก นานๆครั้งก็ได้ยินเสียงของลูกช้างร้อง แอ้ ขึ้นมาสักทีหนึ่ง ยิ่งดึกสงัดก็ยิ่งเงียบเสียง ลมที่เคยพัดโชย มาบัดนี้ก็นิ่งสนิท กิ่งไม้ใบหญ้าที่เคยไหวตามแรงลมก็สงบนิ่งไม่ไหวติง ลองไนและแมลงไพร ที่เคยกรีดปีกระงม ดูเหมือนว่าจะเงียบหายไปนานจนจำไม่ได้ แต่สิ่งที่ยังได้ยินคือช้างโขลงเหล่านั้น

มันจะเอายังไงของมัน

จะขึ้นก็ไม่ขึ้น เหมือนมันลังเลอะไรอยู่ สิงห์หันไปร้องถามพรานเบ ที่นั่งสูบบุหรี่อยู่บนเปล

ที่มันไม่บุกขึ้นมา คงลังเลพวกเรานี้แหละ

ดีเสียอีก อย่าให้มันมาเลย พรานเบตอบเสียงราบเรียบ

แบบนี้สงสัยได้นั่งเฝ้ากันทั้งคืน

แต่ข้าว่า เหมือนมันกำลังจะถอยไปแล้ว พรานพรร้องเสริมมาอีกคน และดูเหมือนว่าสิ่งที่พรานพรพูดจะทำท่าว่าจะเป็นจริง เพราะไม่กี่อึดใจจากนั้น ชายทั้งสามก็เหมือนจะได้ยินเสียงพวกมันเดินฝ่าดงทึบไป เสียงกิ่งไม้หักลู่ดังโผงพลางไปหมด เสียงนั้นค่อยๆเบาลงเรื่อยๆจนในที่สุดก็เงียบหายไป

จากเหตุการณ์ชวนให้เครียด กลับมาคลี่คลายไปได้ด้วยดี หลังจากนั่งลุ้นกันอย่างใจละทึก หายใจหายคอไม่ทั่วท้อง ถึงตอนนี้ทั้งหมดต่างพากันโล่งอก ถึงกระนั้นพรานเบก็ยังกำชับเรื่องอยู่ยามเช่นเดิม เพราะไม่อาจจะประมาทสถานการณ์เช่นนี้ได้ รวมไปจนถึง กองไฟรอบบริเวณจะปล่อยให้มอดดับลงไม่ได้ เพราะขึ้นชื่อว่าพระเพลิงแล้วไม่ว่าสัตว์ชนิดใดก็ต้องเกรงกลัว

สงสัยจะไปกันหมดแล้ว

ถ้าเอ็งง่วง เอ็งก็นอนเถอะไอ้สิงห์ ดึกดื่นป่านนี้แล้ว พรานเบกล่าวออกมาเบาๆ

พอไหวอยู่น้าเบ สงสัยคืนนี้คงไม่ได้ขึ้นไปนอนบนเปล

หนาวฉิ บเผงเลย ชายหนุ่มร้องตอบ พูดจบก็ลากท่อนฟืนท่อนใหญ่ลงไปสุมในกองไฟ

เผลอแป๊บๆจะตีหนึ่งเข้าไปแล้ว

หวังว่าพี่ยักษ์ของเราจะไม่ขึ้นมาปลุกอีกนะ สิงห์พูดจบหลังจากยกนาฬิกาพรายน้ำขึ้นดู

พี่พรล่ะ ไม่ง่วงรึ ประโยคหลังสิงห์หันไปร้องถาม พรานพรที่นั่งสูบบุหรี่บนเปล

ไม่เท่าไหร่วะ สบายมาก

ว่าแต่เอ็งเถอะ เห็นนั่งตาปรืออยู่นั้น ไม่ไหวจริงๆก็ไม่ต้องฝืน พรานพรร้องตอบ แต่ดูว่าชายหนุ่มจะดื้อรั้นไม่ยอมนอน อาจเป็นเพราะความที่ไม่อยากเอาเปรียบคนทั้งสอง เพราะตัวเองนั้นล่ะเป็นคนอาสาอยู่ยามเป็นเพื่อน จะเข้านอนก่อนก็กลัวจะเสียฟอร์ม แต่เพราะอากาศที่หนาวเย็นบวกกับกรำหนักมาตลอดทั้งวัน เปลือกตาก็ชักจะหนักขึ้นทุกขณะ ดูทีท่าว่าจะทนฝืนต่อไปไม่ไหว จนในที่สุดก็ปิดสนิท

ความเงียบเข้าครอบงำคณะเดินทางอีกครั้ง มีเพียงเสียงฟืนในกองไฟ ที่นานๆครั้งจะปะทุลั่นเปรี๊ยะ มาสักทีหนึ่ง ลมดึกเงียบสงบไปนานแล้ว แต่ความหนาวเย็นก็ยังแผ่กว้างออกไปไม่หยุดยั้ง ถึงแม้ว่าจะมีกองไฟกองใหญ่หลายกอง ถึงกระนั้นก็ตาม ก็ยังไม่สามารถบรรเทา ความเย็นยะเยือกได้เลย ชายหนุ่มนอนขดอยู่ในโปงถุงนอนจนแน่นเพราะความหนาว ถึงแม้ว่าจะนอนข้างกองไฟแล้วก็ตาม มันก็ช่วยให้ความอบอุ่นได้เพียงด้านเดียว ส่วนด้านที่ไม่ได้ผิงไอไฟ ก็เย็นยะเยือกจนปวดกระดูก

หลับเสียแล้ว หึหึ.. พรานเบพูดออกมาอย่างแผ่วเบา พลางหัวเราะในลำคอ ที่เห็นสิงห์ม่อยหลับไป

พึ่งจะนั่งคุยกันไม่กี่คำ ถึงว่าเงียบเชียว พรานพรเสริม

พรุ่งนี้แล้วสินะ ที่ข้าจะได้มีโอกาสเห็นป่าดำ

คิดแล้วก็อดตื่นเต้นไปกับไอ้สิงห์ไม่ได้ พรานพรพูดจบก็ลุกขึ้นจากเปลเดินมาหาพรานเบ เหมือนจะมีเรื่องอะไรอยากจะบอก

ไหนๆเอ็งก็เคยไปเหยียบที่นั้นมาแล้ว

เอ็งพอจะบอกข้าได้หรือเปล่า ว่าในป่าดงดำนั่น มันมีอะไรที่พวกข้าไม่เคยเห็น พรานพรพูดเสียงแผ่วเบา

ข้าก็ตอบเอ็งได้ไม่เต็มปากหรอก ไอ้พร

ข้ากลัวว่า ถ้าข้าเล่าให้พวกเอ็งฟัง พวกเอ็งจะหัวเราะข้าเสียมากกว่า พรานเบพูดพลางขยับหมวกไหมพรมที่สวมอยู่

ข้าสัญญาว่าข้าจะไม่หัวเราะเอ็ง ข้ารู้ว่าเอ็งเป็นคนแบบไหน

เล่ามาเถอะ ข้าจะไม่บอกใคร พรานพรรบเร้า

ไหนๆเอ็งก็อยากรู้ และอีกอย่าง เอ็งก็จะได้ไปพบหรืออาจจะได้เห็น

ถ้าไม่เห็นกับตา ยากที่ใครเขาจะเชื่อ พรานเบตอบ และบัดนี้เองเรื่องราวต่างๆก็ถูกพรานเบเปิดเผยขึ้นอีกครั้ง ราวกับฉากในภาพยนตร์ที่ถูกตัดต่ออย่างกะทันหัน

ป่าใหญ่ทึบทะมึน กินอาณาบริเวณกว้างขวาง ซึ่งถูกรายล้อมไปด้วยขุนเขา ที่สูงเสียดเมฆ ไม้ใหญ่หลายต้นยืนต้นเบียดเสียดกันจนแน่นไปหมด ส่วนไม้ชั้นล่างก็พากันแคะแกร็น เพราะไม่อาจยื้อแย่งแสงอาทิตย์จากไม้ใหญ่ที่ขึ้นบดบังไว้ได้ จนในที่สุดบริเวณเหล่านั้นก็ดูโล้งเตียน มีเพียงกองใบไม้ทับถมกันเป็นชั้นๆจนหนาเตอะ เพราะไม่เคยเกิดไฟป่า บริเวณนี้จึงกลายเป็นแหล่งอาหารและที่หลบซ่อนของแมลงและสัตว์ขนาดเล็ก

เสียงแมลงกรีดปีกกันเซ็งแซ่ระงมป่า ท่ามกลางแสงอาทิตย์ยามบ่าย ที่ทอแสงลอดช่องโหว่จากยอดไม้สูงมาเป็นลำ ราวกับไฟฉายที่สาดส่องในยามค่ำคืน ทันใดนั้นเองเมื่อมีเสียงย่ำใบไม้แห้งดังกรอบแกรบแว่วมา เหล่าแมลงไพรที่พากันกรีดปีกเริงร่า เหมือนกับนัดกันไว้ พวกมันต่างพากันเงียบกริบ เสียงย่ำใบไม้นั้นยังคงได้ยิน และดูเหมือนว่าจะใกล้เข้ามาเรื่อยๆ จนในที่สุด ร่างของชายคนหนึ่งก็โผล่พ้นชายป่าออกมา

ชายแต่งกายขะมุกขะมอม ในชุดเดินป่าเก่าคร่ำคร่า ปกปิดร่างกายที่ดูกำยำทรหด ผิวกายออกดำแดงเพราะกรำแดดและงานมาอย่างหนัก บนหลังสะพายเป้ใบเก่าสีมอซึ่งถูกคาดไว้ด้วยผ้าขาวม้าสีซีดไม่แพ้เป้หลังที่สะพาย มีดเหน็บเล่มใหญ่ถูกคาดเหน็บไว้ที่เอว แต่ที่ดูเด่นสะดุดตาที่สุดคงหนีไม่พ้น ปืนลูกซองเดี่ยวกระบอกยาว ที่สะพายไว้ที่ไหล่ซ้าย สภาพของมันดูเก่าพอๆกับเจ้าของ เพราะอายุอานามก็ปาเข้าไปกว่าสี่สิบ พันท้ายที่เป็นไม้มีร่องรอยแตกบิ่นบ่งบอกว่ากรำศึกมาอย่างโชคโชน

สามวันมาแล้ว ที่พรานป่า นามว่าพรานเบ ท่องเที่ยวออกล่าสัตว์มาเพียงลำพัง หลังจากเดินลัดเลาะมาตามป่าเขาชัน เพื่อเสาะแสวงหาเนื้อกลับไปบ้าน แต่จนแล้วจนรอดก็ไร้วี่แวว ของเหยื่อหรือสัตว์ป่าที่จะล่า ตั้งแต่ออกเดินทางมา มีเพียงไก่ป่าตัวเดียว ที่ยิงได้เมื่อวานก่อน เสบียงอาหารที่ติดมาด้วยก็เหลือไว้กินอีกไม่เกินสองวันก็จะหมด ตลอดเช้ายันบ่าย

พรานป่าก็ไม่อาจพบเห็นแม้กระทั้งร่องรอยของสัตว์ใหญ่ที่จะล่าอีกเลย จนในที่สุดก็หยุดพักกินข้าวเที่ยงเสียหน่อย เพราะเลยเวลากินมามากพอสมควร โชคดีที่ข้าวถูกหุงเผื่อไว้แล้วเมื่อตอนเช้าทำให้ไม่ต้องออกแรงหรือเสียเวลาหุงหาอีก กับข้าวมีเพียงไก่ป่าย่าง ที่เหลืออยู่ครึ่งซีกจากเมื่อวาน และน้ำพริกแห้งที่เหลือติดก้นกระปุกอีกนิดหน่อย เพียงเท่านี้ก็สามารถกินกันตายไปได้อีกมื้อ ถึงอาหารจะมีเหลืออยู่ไม่มาก แต่พรานเบก็ยังอุตสาห์ตักแบ่งอาหารเหล่านั้นอย่างละนิดอย่างละหน่อย เพื่อเป็นเครื่องเซ่นเจ้าป่าเจ้าเขาลงบนใบไม้ที่หาได้ใกล้ๆ จากนั้นก็ประคองนำไปวางใต้โคนไม้ใหญ่ต้นหนึ่ง พลางในใจก็อธิฐานขอให้เจ้าป่าเจ้าเขาขอให้พบเจอกับสัตว์ที่จะล่า

ดวงตะวันคล้อยบ่ายลงทุกขณะ หลังจากอาหารเมื่อเที่ยงหมดไปอย่างเอร็ดอร่อย ท่ามกลางป่าเขาที่รายล้อมอยู่รอบด้าน ความหมายของคำว่า คืบก็ป่าศอกก็ป่า คงจะเป็นจริง เพราะจะเอาแน่เอานอนไม่ได้ ในเมื่อครั้งนี้โชคจะไม่เข้าข้างพรานป่า หลังจากอิ่มน้ำอิ่มข้าวได้ที่ ก็จัดเก็บข้าวของเตรียมเดินทางกลับ เพราะไหนๆไม่ได้อะไรติดไม้ติดมือกลับไปแล้ว จะอยู่ไปให้เสียเวลาก็ใช่ที่ ในเมื่อสัตว์ใหญ่ไม่ได้ ขากลับก็ขอสัตว์เล็กไปก็ยังดี เพราะคืนนี้กะว่าจะหาส่องชะมด อีเห็น ไปตามเรื่อง อย่างน้อยๆก็น่าจะเจอตัวบ้างล่ะ หรือถ้ามันจะโชคไม่ดีจริงๆ ก็หาฟันปลาตีกบก็พอไหว เพราะยังมีอยู่ชุกชุม

พรานเบเดินลัดเลาะมาตามชายเขา หลังจากผิดหวังมาหลายที่ ทั้งแก่งผักกูด ช่องผาแคบ ก็ล้วนเดินหามาจนทั่ว แต่ไม่รู้ว่าอะไรมาบังตาทำให้เขาไม่สามารถพบเจอสัตว์ที่ต้องการได้เลย ที่เห็นอยู่เปรอะไปหมด ก็คงมีแต่รอยตีนที่เหยียบย่ำไว้ ซึ่งก็กินไม่ได้ หนักเข้าจึงตัดสินใจเดินวกกลับลงหุบ เพราะคืนนี้คงได้มีโอกาสส่องสัตว์ตามต้นไม้ได้บ้าง เพราะตัวเขาเองได้วางแผนเอาไว้แล้ว ถ้าไม่ได้สัตว์ก็ยังมีปลามีกบให้จับ จนตะวันเริ่มลับเหลี่ยมเขา อากาศเริ่มขมุกขมัวเพราะไร้ซึ่งพระอาทิตย์ที่เคยทอแสง ในที่สุดพรานป่าผู้โดดเดี่ยวก็มาถึงริมห้วยจนได้….

ตอนที่แล้ว

ตอนต่อไป

Advertisements
แหล่งที่มาหนุ่มธุดงค์ไพร