ตอนที่ 30 ผจญภัยในป่าใหญ่ : เสียงหวีดหวิวโหยหวนราวเสียงปีศาจ

แสงจันทร์แรมสิบค่ำ ส่องสว่างเรืองๆจับตามเรือนยอดไม้สูงจนเป็นมันขลับ แข่งกับแสงกระพริบวูบวาบ หลายสิบดวงของหมู่หิ่งห้อย ที่บินวกวนไปมาอยู่ริมห้วยและบริเวณชายป่า ซึ่งตอนนี้มองอะไรไม่เห็นแล้วนอกจากเงาตะคุ่มๆ มีเพียงเสียงน้ำไหลในลำห้วยที่แว่วปะปนมากับเสียงกบเขียดและแมลงไพร ที่พากันส่งเสียงเซ็งแซ่อยู่รอบทิศ ภายใต้แสงจันทร์ที่ทอแสงนวลตา บริเวณใต้ซุ้มไม้และเพิงหินตำแหน่งนี้เอง ที่เป็นที่พักชั่วคราวของพรานป่าผู้โดดเดี่ยว

นกป่า

ซึ่งตอนนี้กำลังก้มหน้าก้มตากินอาหารเงียบๆอย่างเอร็ดอร่อย เพียงระยะเวลาผ่านไปไม่นานอาหารมื้อค่ำก็หมดไปอย่างรวดเร็ว ท่ามกลางแสงไฟสว่างจ้าจากกองฟืนและป่าเขาที่รายล้อม เมื่ออิ่มข้าวอิ่มน้ำจนได้ที่ก็มานั่งคิดทบทวน ถึงแผนการที่จะออกตามหมูเขี้ยวหักตัวนั้นอย่างรอบครอบ เพราะมันไม่ใช่หมูฝูงธรรมดา แต่มันเป็นหมูโทนขนาดใหญ่ ขึ้นชื่อว่าหมูโทนแล้ว ถ้ามันไม่เจนจัดขนาดนี้ ก็คงอยู่ถึงจนป่านนี้ไม่ได้

ครั้นจะไม่ออกตามก็กลัวหมูลำบากที่ตัวเองยิงไว้ ไปแผงฤทธิ์ทำความเดือดร้อนให้กับคนอื่นที่ไม่รู้เรื่องรู้ราว ในเมื่อตัวเราเป็นคนทำมันเจ็บก็ต้องรับผิดชอบในสิ่งที่ตัวเองทำไว้ให้ได้ ดังนั้นแผนการที่วางไว้ว่าในค่ำคืนนี้จะออกส่องไฟหาสัตว์ จึงต้องหยุดไว้ก่อน เพราะต้องออมแรงไว้สำหรับวันพรุ่งนี้ หลังจากลากท่อนฟืนขนาดใหญ่มาสุมไฟสองสามท่อน มากพอที่จะลุกไหม้ไปจนถึงรุ่งเช้า เมื่อตรวจความเรียบร้อยรอบๆบริเวณดีแล้ว พรานเบจึงเอนหลังนอนบนเปลที่ผูกขึงอยู่ต่ำๆ มีเพียงผ้าขาวม้าผืนเดียวคลุมร่างแทนผ้าห่ม

เสียงนกป่านานาชนิด ส่งเสียงเจื้อยแจ้ว ปลุกให้พรานเบตื่นนอนแต่เช้าตรู่ หลังจากจัดเก็บอุปกรณ์ต่างๆทั้งเปลและเสบียงกรังต่างๆจนพร้อมสรรพ ก็มุ่งหน้าออกแกะรอยหมูโทนตัวนั้นทันที โดยเริ่มต้นออกติดตามตั้งแต่จุดที่ลั่นกระสุนนัดที่สอง เพราะเป็นตำแหน่งสุดท้ายที่พบกองเลือดครั้งล่าสุดของเมื่อวาน

ก่อนที่ไอ้หมูเดนตายตัวนั้นจะหนีหายเข้าไปในพงรก พรานเบเดินสำรวจบริเวณนั้นอีกครั้ง เพื่อตรวจหาทิศทางของหมูลำบากตัวนั้นให้แน่ใจอีกที และเป็นการรอเวลาให้ท้องฟ้าสว่างกว่านี้พอจะให้มองเห็นทัศนะวิสัยให้ชัดเจนกว่านี้อีกสักหน่อย

เพราะตอนนี้ทั่วทั้งบริเวณถูกปกคลุมไปด้วยสายหมอกดูหนาทึบ ขืนใจร้อนออกติดตามโดยไม่ทันระวัง อาจจะพลาดท่าเสียทีไอ้หมูโทนตัวนั้นก็ได้ หมูลำบากก็ไม่แตกต่างจากเสือลำบาก ซึ่งถ้ามันบาดเจ็บแล้วจวนตัวหนีไม่ทันจริงๆก็จะปักหลักสู้โดยการแอบซุ่มรอจังหวะโจมตี หรือไม่ก็กระเสือกกระสนไปตายที่อื่นถ้าอาการหนัก ข่าวพรานโดนหมูป่าขวิดไส้ไหลจึงมีให้เห็นและได้ยินอยู่บ่อยๆ

ดวงอาทิตย์ทอแสง และแผ่รัศมีความอบอุ่นไปทั่วทั้งบริเวณ ทำให้ม่านหมอกที่หนาทึบดูเบาบางลงไปทุกขณะ เมื่อเวลาร่วงเลยไป อายหมอกเหล่านั้นก็ค่อยๆทยอยเหือดหาย จนในที่สุดป่ารอบด้านก็ดูปลอดโปร่งปราศจากม่านหมอกมาบดบัง

เมื่อบรรยากาศอำนวยเช่นนี้ พรานชำนาญไพรจึงเร่งสาวรอยหมูลำบากตัวนั้นไปด้วยความระมัดระวัง โดยเฉพาะบริเวณหรือตำแหน่งที่เป็นพุ่มไม้รก พรานเบจะใช้ความระมัดระวังเป็นพิเศษ เพราะรู้พฤติกรรมของสัตว์จมูกทู่ประเภทนี้ดี ทุกย่างก้าวจึงเต็มไปด้วยความรอบครอบ เพราะถ้าพลาดพลั่งไปแค่เสี้ยววินาที อาจหมายถึงชีวิตของตัวเองเช่นกัน เปรียบเสมือนนักมวย ที่แลกกันหมัดต่อหมัด ใครไวกว่าคนนั้นได้เปรียบ

เวลาผ่านไปหลายชั่วโมง ที่พรานเบเดินแกะรอยหมูลำบากตัวนั้นไปอย่างไม่ลดละ แต่ดูเหมือนว่ามันจะไม่ยอมหยุดพักเลยตลอดทั้งคืนที่ผ่านมา ทั้งลงหุบไต่เนิน จากหลายชั่วโมงจึงร่วงเลยมาเกือบครึ่งวัน จนแล้วจนรอดพรานเบก็ไม่สามารถพบตัวของไอ้หมูเขี้ยวหักตัวนั้นได้เลย

หยดเลือดที่หยดมาเป็นทางพอที่จะคำนวณทิศทางของมันได้ว่ามันจะบ่ายหน้าไปทางไหน นานเข้าก็เลือนลางลงทุกที จนในที่สุดก็อันตรธานหายไป ราวกับมีใครอุ้มมันหายไปในอากาศ พรานเบเดินสำรวจหาทั้งรอยเลือดและรอยตีนของมันก็ไม่พบ เพราะบริเวณตีนเนินนั้นเป็นพื้นที่อุดมไปด้วยกรวดหินและลูกรัง

จึงทำให้ไม่สามารถสาวรอยจากรอยตีนของมันได้เลย แต่ก็ดูเหมือนว่าพรานเบจะโชคดี เพราะสายตาเหลือบไปเห็นสิ่งผิดปกติของพื้นเบื้องล่าง ก้อนหินขนาดกำมือมีอาการพลิกหงายขึ้นมา จนมองเห็นส่วนที่เคยฝังอยู่ในดินอย่างชัดเจน และสิ่งที่ทำให้พรานเบมั่นใจมากที่สุดก็คือ รอยเลือดจางๆบริเวณลำต้นของต้นไม้ที่ขึ้นอยู่ใกล้ๆ เหมือนอาการถูรูดระไป ทำให้พรานผู้ไล่ล่าแน่ใจว่า อาการของไอ้หมูทรหดตัวนั้นคงใกล้ถึงวาระสุดท้ายของมันทุกที

ทั้งรอยหินพลิก ต้นไม้ต้นหญ้าเล็กๆหักลู่ รวมไปจนถึงรองรอยของมันหยุดพักนอนตามพุ่มไม้ กองเลือดที่แห้งเกรอะกรัง มีมดและแมลงตอมดำมืดไปหมด ทำให้พรานเบต้องรีบสาวรอยติดตามอย่างกระชั้นชิด จนดวงตะวันบ่ายคล้อยลง ถึงได้หยุดพักการติดตาม

เพราะตั้งแต่เช้ายังไม่มีอาหารหรือแม้แต่ข้าวตกถึงท้องเลยสักเม็ดเดียว นอกจากน้ำกลั้วคอ เหมือนรถยนต์ที่เคยวิ่งฉิว เมื่อขาดเชื้อเพลิงก็มีอาการกระตุกติดๆดับๆไม่นานล้อที่เคยหมุนก็หยุดนิ่งสนิท แล้วจะเอาอะไรมากกับมนุษย์เดินดิน เรียวแรงที่มีอยู่มาตอนนี้ก็ลดถอยลง ขาที่เดินก็ชักจะก้าวไม่ออก มารู้ตัวอีกทีก็มาอยู่บนเขาสกเสียแล้ว จะวกกลับมาหาแหล่งน้ำก็กลัวจะขึ้นมาไม่ทันมืดค่ำ

พรานเบจึงตัดสินใจกินอาหารที่ตัวเองเหลืออยู่บนนั้น เมื่อเปิดย่ามดูก็เห็นกระบอกข้าวที่ตัวเองหุงเผื่อไว้อีกหนึ่งกระบอก น้ำพริกอีกครึ่งกระปุก ในห่อใบตองมีปลาก้างย่างจนแห้งกรอบอีกห้าหกตัว ผสมกับหัวมันนกเผาอีกสามสี่หัว เท่านี้ก็พออยู่ไหว

หลังจากหาทำเลพักกินข้าว ก็จัดแจงกินข้าวด้วยมืออันสั่นเทาเพราะความหิว และด้วยความที่เป็นคนกินน้ำไม่เปลืองจึงมีน้ำดื่มในกระบอกอยู่เกือบเต็ม ทำให้มั่นใจว่าอย่างน้อยๆเสบียงและน้ำที่มีอยู่ สามารถอยู่ตามรอยบนเขาสกนี้ได้อีกสองวันถ้ามากกว่านั้นคงต้องถอยลงมาตั้งหลักใหม่

อิ่มข้าวอิ่มน้ำได้ที่ พรานชำนาญไพรก็ออกติดตามหมูเขี้ยวหักตัวนั้นต่อ ท่ามกลางพงไพรที่รายล้อม รองรอยของมันยังคงพบเห็นได้เป็นบางครั้ง บางครั้งก็เห็นชัดเจน บางช่วงก็ขาดหายไป จึงต้องออกแรงเหนื่อยเดินวนหาถึงจะพบ และบ่อยครั้งที่หาเท่าไหร่ก็หาไม่เจอจนพรานที่ติดตามเกิดอาการท้อเตรียมหันหลังกลับ

แต่พอจะกลับเข้าจริงๆก็พบรอยเสียอย่างนั้น รอยนั้นพาพรานเบมุ่งตัดเขาสกขึ้นไปทุกระยะ ทั้งพงรก หนามหวาย กอไผ่ ล้วนถูกมันบุกลุยเข้ามาทั้งนั้น ทำให้คนติดตามลำบากเข้าไปอีกเพราะจะต้องมุดลอดซุ้มพุ่มไม้เหล่านั้นติดตามไปด้วยแถมต้องคอยระวังตัวมากขึ้นไปอีก

เพราะป่าที่มันพาบุกเข้าไปเริ่มมีสภาพรกเครือมากขึ้นเรื่อยๆ ทั้งเถาวัลย์ที่ขึ้นเกาะเกี่ยวระโยงระยางดูรกไปหมด แต่ละเถาก็มีขนาดใหญ่โตแบบที่ไม่เคยพบเห็นที่ไหนมาก่อน ขนาดเล็กที่สุดก็เกือบเท่าขาอ่อนแล้ว ยิ่งเข้าลึกมากเท่าไหร่ป่าก็ดูรกทึบจนดูมืดสลัวมากขึ้นเท่านั้น

เพราะเหนือกอซุ้มเถาวัลย์เหล่านั้นที่ขึ้นแผ่ปกคลุมเหมือนหลังคา ก็ยังถูกปกคลุมไปด้วยร่มเงาของไม้ใหญ่หนาทึบอีกชั้นหนึ่ง ทำให้แสงอาทิตย์ไม่สามารถส่องสว่างเข้ามาถึงบริเวณภายใน ซึ่งก็เปรียบเสมือนอุโมงค์หรือถ้ำดีๆนี้เอง แตกต่างกันตรงที่มีลำต้นของต้นไม้ใหญ่เหล่านั้นแทงทะลุออกมาจากซุ้มเถาวัลย์ แทนที่จะเป็นหินงอกหินย้อย และแต่ละต้นก็ดูใหญ่โตมโหฬารราวกับต้นไม้ยักษ์

จากป่าหินกลับกลายมาเป็นป่าดิบชื้น เส้นทางที่สูงชัน เปลี่ยนมาเป็นลาดต่ำลงทุกขณะ อากาศที่อับชื้นมีแต่กลิ่นหมักเปรี้ยวของกองใบไม้ผุ ซึ่งดูเหมือนว่าจะไม่เคยพาลพบกับไฟป่ามานานนับศตวรรษจนดูเป็นกองหนาเตอะ

ยุงและสัตว์ดูดเลือดจำพวกทากชุมจนยืนอยู่นิ่งๆ ไม่ได้ หนักเข้าก็ต้องงัดยาเส้นออกมาจุดสูบไล่ยุงและละลายน้ำท่าตามเนื้อตัว แต่ถึงจะคอยระวังขนาดไหนก็ถูกพวกมันเกาะกินเลือดจนแดงเถือกไปทั้งขา

แสงสว่างที่มีอยู่น้อยนิด นานเข้าก็เริ่มสลัวมากขึ้นทุกที แต่ที่ทำให้น่าแปลกใจก็คือ บรรดาหมู่นกกาที่เคยส่งเสียงเจื้อยแจ้วซึ่งเคยร้อยเพรียกอยู่ชายป่า แต่ภายในดงทึบแห่งนี้ กับไม่แว่วเสียงสำเนียงใดเลย ราวกับป่าแห่งนี้ไร้ซึ่งสิ่งมีชีวิต

พรานเบเดินคลำเส้นทางแห่งนั้นไปอย่างไม่ลดละ แม้ป่าจะดูไม่รกนักเพราะพื้นเบื้องล่างไม่มีไม้เล็กไม้น้อยขึ้นเลย แต่ความมืดที่กำลังจะกล้ำกลาย กลับเป็นอุปสรรค์ที่พรานผู้โดดเดี่ยวจะต้องเผชิญในอีกไม่ช้า

สิ่งเดียวที่ทำให้มีความหวังเดินต่อไปได้ ก็คือร่องรอยของไอ้หมูเขี้ยวหักตัวนั้น ซึ่งก็ปรากฏให้เห็นอยู่เป็นระยะๆ ถึงแม้ว่าจะดูเลือนลางลงทุกขณะ แต่มันก็ดูเด่นชัดในสายตาพรานชำนาญไพร แต่ความหวังคือเนื้อหนังที่จะนำกลับไปเพื่อดำรงชีวิต ดูเหมือนว่าจะริบหรี่ลงในทันที เพราะร่องรอยของมันพาให้พรานเบมาหยุดชะงักอยู่กับที่

ภายใต้เถาวัลย์ที่รกเครือ ผนังหินขนาดมหึมาโผล่ขึ้นมาปิดกั้นทางนั้นเป็นแนวยาวเหยียด ซึ่งดูเหมือนว่าพรานที่ออกติดตามหมูลำบากตัวนั้นไม่ได้เฉลียวใจคิดเลยว่า ตำแหน่งที่ตัวเองยืนอยู่ จะเป็นตำแหน่งของเหวลึกที่ใดสักแห่ง ลึกขนาดที่แสงแดดไม่อาจจะสาดแสงลงมาถึง

ผนังหินหรืออีกนัยหนึ่งนั้นก็คือหน้าผาของภูเขาชันนั้นเอง ที่ทอดยาวเป็นกำแพงไม่มีที่สิ้นสุด โดยมีเถาวัลย์ห้อยรกไปหมด แต่หลังม่านเถาวัลย์ที่ห้อยระโยงระยางนั้นเอง ดูเหมือนว่าจะมีช่องกว้างไม่เกินสามวาราวกับถูกขวานยักษ์จามไว้ ซึ่งที่จริงแล้วมันก็คือรอยแตกหรือรอยเลื่อนของผนังหินนั้นนั่นเอง

ราวกับประตูสู่นรกที่ดำมืด ไร้แม้แสงสว่างจากอีกฝากฝั่งเขาด้านตรงข้าม ไร้แม้แต่สรรพสิ่งที่บ่งชี้ว่าเป็นสิ่งมีชีวิตบริเวณนั้นก็หามีไม่ เสียงที่ได้ยินมีเพียงเสียงลมหายใจของตัวเอง

และเสียงหวีดหวิวโหยหวนของลมที่พัดมาตามช่องประตูนรก ราวกับเสียของปีศาจที่พากันกรีดร้องด้วยความทุกข์ทรมาน ป่าดำ!! จริงหรือนี้ว่ามันจะมีจริงดังนิทานที่ตัวเขาเองนั่งฟังมาจนเบื่อ จริงหรือกับตำนานความลี้ลับที่ปูย่าตาทวดเล่าต่อๆกันมา

บัดนี้คำบอกเล่านั้นมาปรากฏอยู่ตรงหน้าพรานเบแล้ว ร่างกายเหมือนจะชาไปทั้งตัว แขนขาก็พลอยเป็นอัมพาตไปชั่วขณะ มือที่สั่นเทาพยายามจะล้วงมือเข้าไปหยิบไฟฉายในย่าม

ดูเหมือนว่าจะไม่ได้ผลเพราะไม่รู้ว่าเรี่ยวแรงมันหายไปไหนหมด สติที่ยังพอหลงเหลืออยู่บ้างบัญชาให้ต้องรีบถอย และนั่นคือจุดสิ้นสุดของความคิด ที่จะออกติดตามไปปลิดชีพไอ้เขี้ยวหักตัวนั้น ซึ่งมันได้หายเข้าไปในช่องประตูนรกแห่งนั้น

สรุปเอ็งก็ไม่ได้ตามมันเข้าไป

ถ้าข้าเป็นเอ็ง ข้าก็ไม่กล้าเสี่ยงหรอกว่ะพรานพรร้องบอก

มันคงเข้าไปหลบอยู่ในนั้น

ปากทางนั่น คงทะลุไปถึงป่าดำได้พรานเบตอบ พูดจบก็ยกบุหรี่ยาเส้นขึ้นมาสูบ

แล้วครั้งนี้เอ็งจะพาไอ้สิงห์มันไปถึงไหน

ข้าว่าแค่พ้นเขาสกไปก็คงพอแล้ว เพราะเท่าที่เอ็งเล่ามา ข้าว่ามันเสี่ยงเกินไปสำหรับพวกเราพรานพรตอบแบบเคร่งเครียด

ข้าก็คิดแบบเอ็งนั่นล่ะไอ้พร

ชีวิตพวกเรา มีค่าน้อยกว่าไอ้สิงห์มันเยอะพรานเบตอบ พลางหันไปมองสิงห์ ซึ่งตอนนี้นอนขดตัวกลมอยู่ริมกองไฟ

ข้าก็อยากมีบุญแบบเอ็ง ที่ได้เห็นปากทางเข้าป่าดำแบบนั้น

แต่เราจะเสี่ยงไม่ได้ ข้าเป็นห่วงไอ้สิงห์กับพวกเราพรานพรร้องเสริม

เอ็งอย่าคิดมากไปเลยไอ้พร

ข้าไม่ปล่อยให้เกิดเรื่องร้ายๆกับพวกเราง่ายๆหรอกพรานเบพูดพลางตบไหล่พรานพรเป็นการปลอบขวัญ

ว่าแต่ไอ้หมูโทนตัวนั้น ดวงมันแข็งจริงๆ

โดนไปขนาดนั้นยังหนีรอดไปได้พรานพรพูดพลาง หยิบห่อยาเส้นของตัวเองขึ้นมามวน

มันไม่ตาย ข้าก็อาจจะไม่รอดกลับออกมาก็ได้ ใครจะรู้

อย่างน้อยๆก็ได้ไอ้นี้เป็นที่ระลึกพรานเบพูดจบ ก็ล้วงมือเข้าไปในย่ามแล้วหยิบวัตถุบางอย่างโยนให้พรานพรรับ
คนรับถึงกับทำตาโพลง

เมื่อได้เห็นวัตถุชิ้นนั้นชัดเจนอยู่ในมือ เขี้ยวหมูป่าโค้งยาวเกือบคืบ เห็นแค่เขี้ยวก็กะขนาดตัวมันได้ว่าจะใหญ่โตขนาดไหน ส่วนปลายแหลมโง้งเป็นสันเหมือนเคียวเกี่ยวข้าว ด้านปลายสุดมีรอยแตกบิ่นไปเล็กน้อย บริเวณด้านโคนเขี้ยวที่ดูหนาใหญ่นั้น ถูกพันทับด้วยเชือกขวั้นเส้นเล็กๆ ปกปิดส่วนที่มีรอยแตกบิ่นเป็นแผลฉกรรจ์ไว้อย่างเรียบร้อย น้ำหนักของมันทำให้รู้ว่า เขี้ยวของหมูตัวนี้ไม่ใช่หมูธรรมดา เพราะมันเป็นหมูเขี้ยวตัน!

ทีนี้เอ็งจะเชื่อข้าอย่างสนิทใจแล้วหรือยัง

ว่าสิ่งที่ข้าเล่าให้เอ็งฟังทั้งหมด มันเป็นเรื่องจริงพรานเบพูดจบก็ยกบุหรี่ขึ้นสูบ

เอ็งก็พูดไป ข้ารู้นิสัยเอ็งดี

ข้ารู้จักเอ็งดีพอ ข้าเชื่อเอ็งอยู่แล้วไอ้เบพรานพรพูดจบ ก็ส่งเขี้ยวหมูป่าชิ้นนั้น กลับคืนให้พรานเบผู้เป็นเจ้าของ

นี่ก็ใกล้เวลาพักของเราแล้ว

พวกเราไปนอนพักเอาแรงกันดีกว่า โน่นตาโส่ยลุกขึ้นไปปลุกไอ้แปะแล้วพรานพรพูดพลาง บุ้ยปากไปที่พรานชรา

อากาศเย็นยะเยือกบนเทือกเขาสูงเช่นนี้ มีเพียงกองไฟกองใหญ่เท่านั้น ที่พอจะบรรเทาความหนาวเย็นให้ลดลงไปได้บ้าง ฟืนท่อนแล้วท่อนเล่า ถูกบุคคลที่อยู่ยามลากมากองสุมเติมเพิ่มความสว่างและความอบอุ่น

ขนาดถุงนอนอย่างดีของชายหนุ่มที่ตระเตรียมมายังเอาแทบไม่อยู่ ประสาอะไรกับผ้าขาวม้าและผ้าห่มผืนเก่าของเหล่ากะเหรี่ยงดงจะทนไหว อย่าว่าแต่มนุษย์เลย เพราะยังดีมีเสื้อผ้าและผ้าห่มพอจะบรรเทาได้บ้าง

แต่หมาทั้งสองตัวที่ติดตามมาด้วยสิ น่าสงสารที่สุด เพราะนอกจากขนบนตัวมันแล้วก็ไม่มีอะไรคลุมตัวมันเลย สิ่งที่ทำได้ คือนอนขดจนตัวกลมใกล้ข้างกองไฟให้มากที่สุด แต่มากเกินก็ไม่ได้ เพราะมีบ่อยครั้งนอนเพลินจนไฟลามมาไหม้ขนก็มี โดนแบบนั้นเข้าก็แหกปากร้องลั่นป่า ทำเอาคนตกอกตกใจกันหมด

สำหรับชายหนุ่ม คืนนี้คิดถูกที่ลงมานอนขดอยู่บนผ้าใบข้างล่าง ถึงแม้ว่าจะนอนข้างกองไฟใกล้ขนาดนี้ แต่ความหนาวเย็นก็ยังรุนแรงจนข่มตานอนแถบไม่ไหว ขนาดว่านอนสบายกว่าเพื่อนยังทรมาน ถ้านอนบนเปลจะขนาดไหน

แต่เพราะความเหนื่อยและอ่อนล้าของสังขาร ที่ตรากตรำกับการเดินทางมาอย่างหนัก เพียงไม่นานนิทราก็เข้ามาครอบงำชายหนุ่มผู้อ่อนล้า ก่อนจะเข้าภวังค์ ความรู้สึกเหมือนกึ่งหลับกึ่งตื่น จำได้ว่าแว่วเสียงพรานคนใดคนหนึ่งพูดงึมงำอะไรฟังไม่ได้ศัพท์ กับเสียงโครมครามของกองไฟที่ถูกสุมไฟ และแสงสว่างโพลงวูบวาบบนนั้น

จากนั้นทุกสิ่งทุกอย่างก็เงียบสนิท นานๆครั้งจะได้ยินเสียงประทุของกองฟืนดัง เปรี๊ยะ สักครั้งหนึ่ง ช่วงเวลาแห่งความฝัน หรือภาพนิมิตอะไรชนิดหนึ่ง จิตสำนึกบางอย่างทำให้เขามองเห็นภาพประหลาด ซึ่งมันผิดแปลกไปจากที่ตนเคยเห็นมาก่อน

ในห้วงภวังค์แห่งความฝัน ความรู้สึกบอกกับตัวเองว่า กำลังยืนอยู่อย่างโดดเดี่ยว ท่ามกลางสายหมอกที่หนาทึบ ซึ่งตอนนี้ปกคลุมขาวโพลนจนมองไม่เห็นสิ่งต่างๆรอบกายเลย ราวกับตัวเองกำลังยืนอยู่ในกล่องกระดาษใบใหญ่ หรือไม่ก็ห้องโถงขนาดใหญ่มหึมา ที่ภายในนั้นไม่ได้บรรจุอะไรไว้เลย

นอกจากเขาเพียงคนเดียว ไม่มีต้นไม้ ไม่มีสายน้ำ ไม่มีแม้กระทั่งสิ่งมีชีวิต มีเพียงสายหมอกที่ถูกอัดแน่นลงไป เหมือนกับควันบุหรี่ที่ถูกเป่าไว้ในขวดแก้ว ไม่มีสิ่งมีชีวิตใดๆนอกจากตัวเขา และพื้นกรวดหินก้อนเล็กๆ ที่ชายหนุ่มเดินย่ำวนไปวนมาปราศจากทิศทาง มือที่ไขว่คว้าในสายหมอก เพราะมองไม่เห็นเส้นทาง ราวกับคนตาบอดที่ใช้ไม้แกว่งคลำทางไม่มีผิด

ความรู้สึกของชายหนุ่มในตอนนี้บอกกับตัวเองไม่ถูกว่า กลัวหรือไม่กลัว เพราะมันทั้งสับสนระคนพิศวงเสียมากกว่า จนเวลาล่วงเลยไปนานเท่าไหร่ไม่ทราบได้ ที่เขาเดินคลำทางวนเวียนอยู่เช่นนั้นอย่างไม่มีจุดหมายปลายทาง เพราะตลอดระยะเวลาที่เดินฝ่าสายหมอกหนาทึบเช่นนั้น

ไม่พบอะไรเลยนอกจากความว่างเปล่า ขนาดพยายามเดินเป็นเส้นตรง เผื่อว่าจะเจอทางตัน ไม่ก็กำแพงหรือเขตกั้น แต่ไม่ว่าจะพยายามขนาดไหน ดูเหมือนมันจะไม่มีจุดที่สิ้นสุด ท่ามกลางความเวิ้งว้างว่างเปล่าและโดดเดี่ยวนั่นเอง เหมือนโสตประสาทจะแว่วเสียงอะไรบางอย่าง เสียงนั้นฟังดูแผ่วเบาจนแทบไม่ได้ยิน แต่เมื่อตั้งใจฟังดีๆ ก็พบว่ามันเป็นเสียงงึมงำเหมือนใครกำลังท่องบทสวดมนต์อะไรบางอย่าง ดังแว่วมาทางเบื้องหน้านั้นเอง

ลึกเข้าไปในม่านหมอก ชายหนุ่มรีบเดินตามเสียงสวดนั้นไปอย่างไม่รีรอ และดูเหมือนว่า ความคิดที่ออกติดตามเสียงนั้นจะเป็นผล ม่านหมอกที่ดูหนาทึบ ตอนนี้เริ่มเจือจางลงทุกขณะ เพราะเริ่มมองเห็นต้นไม้และสิ่งต่างๆรอบกายลางๆ จนในที่สุดก็พอมองเห็นอะไรต่อมิอะไรได้ถนัดตามากขึ้น แต่ภาพที่เขาเห็นนั้นกลับทำให้เขาประหลาดใจยิ่งไปอีก

ท่ามกลางดงไม้ใหญ่มหึมาหลายร้อยต้น ที่ยืนต้นตระหง่านเป็นดงทึบ ภายใต้เงาร่มครึ้มนั้นเอง ที่ชายหนุ่มมองเห็น ร่างของชายชราคนหนึ่ง ลักษณะท่าทางหน้าตาและผิวกายดูเอิบอิ่ม ราวกับชายวัยกลางคนเสียมากกว่า

ซึ่งค้านกับผมที่หงอกขาวไปทั้งศีรษะ ที่ถูกมัดรวบเป็นมวยดูเป็นระเบียบ ต่างจากหนวดเคราที่ปล่อยยาวรุงรังจนมองแทบไม่เห็นริมฝีปากและลำคอ ท่อนบนที่กึ่งเปลือย มีลูกประคำที่ทำจากเมล็ดพืช หรือไม้เปลือกแข็งสีน้ำตาลแก่บางชนิด ห้อยทับบนผ้าสีขาวที่คาดเฉียงไปถึงเอว

นอกจากผ้าผืนนั้นแล้ว ยังมีผ้าคาดนุ่งดูเหมือนโสร่งสีเปลือกไม้อีกผืนโดยมีเชือกถักเส้นใหญ่คาดรัดไว้บริเวณเอว ฝ่ามือทั้งสองข้างวางซ้อนทับกันบนระหว่างกึ่งกลางลำตัวในท่านั่งขัดสมาธิ ชายชราผู้ลึกลับคนนั้นยังคงนั่งหลับตาสวดกรรมฐานอยู่ภายใต้ร่มไม้ใหญ่นั้น….

ตอนที่แล้ว

ตอนต่อไป

Advertisements