ตอนที่ 14 ผจญภัยในป่าใหญ่ : เรามิใช่เจ้าแม่ตะเคียน

เฮ้ย!!! สิงห์อุทานดังลั่น หลังจากเท้าของเขาถูกพื้น จริงๆแล้วจะว่าพื้นก็ไม่ถูกนัก เพราะมันเย็นยะเยือกราวกับถูกน้ำ ใช่แล้วน้ำ น้ำในลำห้วยนั้นเอง

นะ..นะ..นี้เรามาอยู่ที่นี้ได้ยังไง ทุกคนหายไปไหนกันหมดภาพที่เขาเห็นยิ่งทำให้เขางง เพราะนอกจากกองไฟกองเล็กๆ แล้ว ไม่มีใครอยู่ด้วยเลย

ลุงโส่ย พี่แปะ ไอ้เคิ้ง ไอ้พุ่ม วู้วว…เขาอยากจะป้องปากตะโกน แต่คอแข็งเกินที่จะทำแบบนั้นได้

ฝัน! เราต้องฝันไปแน่ๆ หลังจากคิดอยู่ในใจเช่นนั้น เขาก็หลับตา กะว่าถ้าลืมตาก็คงจะตื่น และคงจะไม่เห็นภาพที่เห็นอยู่แบบนี้ แต่เขาคิดผิด

คิก คิกเสียงหัวเราะแหลมใสแว่วมาจากชายห้วย เล่นเอาสิงห์สะดุ้งเกือบตกเปล

คะ..คะ..ใครน่ะสิงห์กลั่นใจถาม

คิก คิกๆ ไม่มีคำตอบจากเจ้าของเสียงว่าเป็นใคร มีแต่เสียงหัวเราะตอบกลับมาอีก

ผะ..ผมถามว่าใครครับ ครั้งนี้ไม่พูดเปล่าเพราะเขาคว้าก้อนหินใกล้ๆ เตรียมขว้างไปยังตำแหน่งของเสียงปริศนา

เรายังมิได้ทำอันใดท่านเลย ไฉนเลยท่านถึงจะทำร้ายเราครั้งนี้มาเป็นประโยคฟังถนัดหู ไม่ได้มาแค่เสียงหวานใสเท่านั้น แต่มาพร้องเสียงกรวดหินที่ดัง เหมือนคนกำลังเดินย่ำเข้ามาเรื่อยๆ จนหินในมือของคนที่คิดจะขว้าง หลุดจากมือเหมือนคนไม่มีเรียวแรง

หยุด! หยุดอยู่ตรงนั้น อย่าเข้ามาคุณเป็นใครกันแน่ได้ผล เสียงฝีเท่าที่คิดว่าจะเดินเข้ามาใกล้หยุดทันที เมื่อเหลือบไปรอบๆก็สะดุดตาเข้ากับฟืนท่อนหนึ่ง ยาวพอประมาณ ซึ่งด้านปลายของมันมีไฟติดอยู่

เหตุใดท่านต้องกลัวเรา เราบอกท่านแล้วว่าเรามิได้คิดทำร้ายท่านดอกยิ่งห้ามเหมือนยิ่งยุ เจ้าของเสียงทำท่าเหมือนจะเดินเข้ามาอีก

ผมบอกแล้วนะว่าอย่าเข้ามา ผมไม่รู้ว่าคุณเป็นใคร และคุณต้องการอะไรจากผมไม่พูดเปล่าสิงห์ก็ชูท่อนฟืนติดไฟสูงขึ้น ราวกับว่ามันคือคบเพลิง

ท่านนี่ ช่างดื้อด้าน เสียจริงๆ ท่านกลัวเรา ที่เป็นผู้หญิง อย่างนั้นฤาประโยคนี้ ทำเอาคนที่ยืนฟังลืมความกลัวเป็นปลิดทิ้ง

ผมไม่ได้กลัวคุณนะ แต่ผมไม่แน่ใจว่าคุณจะเข้ามาหาผมทำไม เพื่ออะไรพูดจบเขาก็ก้มลงเอามือควานหาฟืนเพื่อจะเติมไฟในกองให้สว่างกว่าเดิม โดยไม่พละใบหน้าที่จ้องไปยังตำแหน่งของเสียงนั้น แต่ไม่ทันที่สิงห์จะหาฟืนเจอ ไฟในกองที่ทำท่าเหมือนจะดับ ก็พลันลุกวูบราวกับเตาแก๊ส เล่นเอาสิงห์หงายท้องก้นจ้ำเบ้า

คิกๆ

สิ้นเสียงหัวเราะชอบใจ ร่างนั่นก็เริ่มโผล่ออกมาจากเงามืด คิดแล้วไม่มีผิด เป็นหล่อนจริงๆด้วย หล่อนคนนั้น คนที่เขาเห็นนั่งสบายอารมณ์อยู่บนต้นตะเคียน ครั้งนี้เขาเห็นถนัดชัดเจนเห็นแม้แต่ขนตาที่งอนงาม สาวงามในชุดสไบชุดเดิมยืนกอดอกอยู่ตรงหน้า ถ้าไม่มีกองไฟขวางไว้ล่ะก็ รับรองว่าคงถึงตัว

คุณ คุณคนที่ผมเห็นหรือเปล่า แล้วคุณมาอยู่ที่นี้ได้ยังไง มีหมู่บ้านแถวนี้หรือสิงห์กลั้นใจถามออกไป ในขณะที่ยังนั่งไม่เป็นท่าอยู่เช่นนั้น

ใช่ เรือนเราอยู่บริเวณหล่อนพูดขณะที่ยังยืนจ้องสิงห์ตาไม่กระพริบ

เราอยู่ที่แห่งนี้มานานแล้ว แต่พวกท่านมาทำเรือนของเราเสียหายหล่อนทำสีหน้าตำหนิสิงห์ แต่แววตาของหล่อนซ่อนยิ้มเอาไว้

พวกผมไปทำบ้านของคุณเสียหายตอนไหนครับ ตั้งแต่ผมเดินมายังไม่เห็นบ้านที่ไหนสักหลังสิงห์พาซื่อเพราะไม่รู้จริงๆว่ากำลังคุยกับใครอยู่

ท่านจำมิได้จริงๆฤาหล่อนเลิกคิ้วถาม

ผมไม่รู้จริงๆ หรือว่าลูกปืนของพวกผมคนใดคนหนึ่ง ตกใส่หลังคาบ้านคุณคำพูดของสิงห์เล่นเอาหล่อนอดที่จะยิ้มไม่ได้ จนหล่อนทนไม่ไหว

ท่านสิงห์ ก็ท่านกับพรานเฒ่านั้นไง ที่ใช้มีดฟันเรือนของเรา ผลงานของท่านยังอยู่ ตรงนั้นพูดจบหล่อนก็ชี้มือไปที่โคนตะเคียนริมน้ำ เท่านั้นเองสิงห์ถึงกับขนลุกไปทั้งตัว บ้านของหล่อนที่ว่าก็คือต้นตะเคียนใหญ่ ที่พรานเฒ่ากับเขา มาดักลอบบริเวณรากตะเคียนนั้น แล้วที่หล่อนบอกว่าเขาและพรานเฒ่าใช้มีดฟันเรือนหรือบ้านของหล่อน ก็ตรงรากไม้นั้นไงที่เป็นส่วนหนึ่งของที่พักของเธอ

คุณคือเจ้าแม่ตะเคียนหรือ สิงห์หันไปมองหน้าหล่อนอย่างไม่เชื่อสายตาตัวเอง

เรามิใช่เจ้าแม่ตะเคียน หรือสิ่งใดก็แล้วแต่ที่ท่านจะยกตำแหน่งให้เรา

แล้วคุณรู้จักชื่อผมได้อย่างไร สิงห์ถามด้วยความสงสัย

ทำไม ท่านถึงได้เขลานัก ก็ขนาดตะเคียนใหญ่ต้นนี้ เรายังเข้าไปอยู่อาศัยได้ แล้วนับประสาอันใดกับนามของท่านหล่อนตอบพลางยิ้มหวาน

ไหนๆ ก็ไหนๆ แล้ว ผมเชื่อคุณแล้วว่าคุณคงไม่ทำร้ายอะไรผม และคุณก็ไม่ใช่มนุษย์อย่างผมสิงห์ทำใจดีสู้เสือ

เหตุใดคุณถึงมาบอกผมเรื่องนี้ ทำไมไม่เป็นคนอื่นที่เหลือสิงห์ถาม

ก็เพราะดวงจิตของท่าน กับดวงจิตของเราสื่อถึงกันได้ ถ้าจิตของท่านมิอาจตรงกับของเราแล้ว ท่านก็คงมองเรามิพบดอก สำหรับเรามันตรงกันข้ามกับท่าน เราสามารถมองเห็นทุกสิ่งทุกอย่าง เห็นตั้งแต่พวกท่านเหยียบเข้ามาในเขตของเราแล้วหล่อนอธิบาย

แล้วคุณ ต้องการอะไรจากผมครับ ชีวิตของผมหรือสิงห์ถาม

หึหึหึ หล่อนหัวเราะในลำคอ

ถ้าเราต้องการชีวิตของท่าน โทษฐานที่มาบังอาจทำเรือนของเราได้รับความเสียหาย ป่านนี้ท่านก็คงมิได้มาเสวนากับเราเยี่ยงนี้ดอก พูดจบหล่อนก็สะบัดผมที่ยาวสลวย จนสิงห์ได้กลิ่นหอมของดอกไม้พัดออกมาจางๆ แล้วหล่อนก็เดินไปยังตำแหน่งที่สิงห์และพรานเฒ่าใช้มีดฟันรากของต้นตะเคียน

โอ้วว..ถ้าเช่นนั้นผมต้องขอโทษคุณด้วยนะครับ พวกผมไม่ได้มีเจตนาเลยสิงห์พูดออกมาจากใจจริง

เราให้อภัยท่าน แต่เราอยากจะขอสิ่งใดบางอย่างจากท่าน เพื่อแลกกับหนึ่งชีวิตของคณะหล่อนพูดจบก็เดินเรียดๆมาที่เปลของสิงห์ สิงห์เองก็หนาวๆร้อนๆอยู่แล้วรีบขยับหนีไปอีก

ถ้าผมสามารถทำให้คุณหายโกรธพวกผมแล้ว ผมยินดีทำให้ครับสิงห์พูดจบก็ขยับมานั่งบนก้อนหินใหญ่ก้อนหนึ่งข้างกองไฟ ตาประสานตากันอีกครั้ง

สิ่งที่เราขอก็มิได้มากมายอันใดดอก เราต้องการให้ท่านนำอาหาร คาว หวาน มาขอขมาเรา โดยท่านจะต้องนำมาให้เราตามลำพังเพียงผู้เดียว หามิได้แล้ว เราจะถือว่าท่านหมิ่นเราหล่อนพูดจบ ก็ค่อยๆหย่อนเอวที่คอดกิ่วลงบนเปลของสิงห์

ได้สิครับคุณ เรื่องแค่นี้เองทำไมผมจะทำให้ไม่ได้สิงห์พูดพลางยิ้ม และเป็นการส่งยิ้มให้หล่อนเป็นครั้งแรก จนคนที่ได้รับยิ้มนั้นมีอาการเหนียมอาย

แต่ท่านจงอย่าลืมในสิ่งที่เราบอกท่านนะว่า ท่านต้องมาคนเดียวตามลำพัง ห้ามมิให้ผู้ได้ติดตามมาด้วยเป็นอันขาดหล่อนพูดจบก็หยิบดอกกล้วยไม้ป่าดอกใหญ่ ที่หล่อนนำมาทัดหู ออกมาคลึงเล่นในมือ

ก็ได้ครับ ผมรับปาก ว่าผมจะมาเพียงคนเดียวสิงห์พยักหน้ารับคำ จนหล่อนยิ้มอย่างพอใจแล้วพูดต่อมาอีกว่า

ดีมาก เราหวังว่าท่านคงจะมิผิดสัจจะที่ให้ไว้กับเราหล่อนพูดขณะที่จ้องตาของสิงห์ไม่กระพริบ ราวกับว่าสิงห์จะต้องมนต์สะกด จนเขาเผลอพูดอะไรบ้างอย่างออกไปอย่างไม่รู้ตัว

คุณรู้หรือเปล่า ถ้าคุณเป็นมนุษย์แบบผม คุณจะเป็นผู้หญิงที่สวยที่สุดเท่าที่ผมเคยเห็นมามันเป็นเช่นนั้นจริงๆ เพราะหล่อนสวยไม่มีที่ไหนจะติเลย จะติอยู่อย่างเดียวคือ หล่อนไม่ใช่คน

นี่ท่านกำลังเกี้ยวเราฤาหล่อนเลิกคิ้วถาม โดยมียิ้มน้อยๆที่มุมปาก

เปล่าครับ ผมไม่ได้จีบหรือเกี้ยวคุณ คุณเป็นนางไม้หรืออะไรก็แล้วแต่ ที่ผมเห็นเป็นครั้งแรกในชีวิตครับ เลยไม่รู้ว่าจะมีนางไม้หรือเจ้าแม่ที่ไหนสวยกว่าคุณหรือเปล่าประโยคหลังทำเอาหล่อนค้อนให้ทีหนึ่ง

พูดถึงนางไม้กับเจ้าแม่ ผมอยากรู้ว่ามีคุณ…เอ่อ มีคุณคนเดียวหรือตนเดียว หรือเปล่าครับ ในป่าผืนนี้ประโยคหลังเขาถามแบบกล้าๆกลัวๆเพราะกลัวจะไม่เข้าหูหล่อนอีก

ตั้งแต่เขตหมู่บ้านของพรานนำทางของท่านแล้ว ไปจนสุดเขตที่พวกท่านอยากรู้อยากเห็นนั้น มีเราผู้เดียว ที่ดูแลและปกป้องอยู่หล่อนพูดทิ้งท้ายไว้เป็นนัยๆ

คุณรู้! ว่าพวกผมจะเข้าไปเที่ยว ป่าดำสิงห์ร้องออกมาอย่างลืมตัว

เราบอกท่านแล้ว ท่านสิงห์ ว่าเรารู้ทุกอย่าง รู้ว่าพวกท่านมีจุดหมายปลายทางที่ไหนหล่อนพูดพลางม้วนผมที่ดำคลับเล่นไปมา

ถ้าแบบนั้นคุณก็รู้สิว่า ป่าดำ มันอยู่ที่ไหนสิงห์ถามด้วยอาการลิงโลด โดยลืมไปว่าคุยกับอะไรอยู่

เรารู้หล่อนตอบมาสั้นๆ

คุณพอจะบอกผมได้หรือเปล่าครับ ว่าพวกผมทั้งคณะ จะสามารถไปถึงจุดหมายได้หรือเปล่า และจะมีอันตรายใดกับคณะของผมหรือไม่ เผื่อว่าพวกผมจะได้เตรียมตัวและรับมือได้ถูก

เราบอกท่านมิได้ดอก เพราะมันผิดกฎ ถ้าเราบอกท่านตัวเราเองอาจจะสูญเสียญาณ ที่เราเพียรบำเพ็ญมาเป็นเวลานาน หรือแม้แต่ดวงจิตของเราเอง อาจถึงขั้นดับสลายไปเลยก็ได้หล่อนพูดออกมาจากใจจริง ด้วยแววตาวิงวอน

มันร้ายแรงถึงขนาดนั้นเชียวหรือสิงห์ถามอย่างคนสิ้นหวัง แทนคำตอบหล่อนพยักหน้าลงช้าๆ

แล้วผมควรจะทำยังไงดีครับ

หรือว่า….

พวกผมควรจะกลับสิงห์พูดออกมาลอยๆโดยตาของเขามองไปที่เปลวไฟอย่างปราศจากความหมาย

ท่านอย่าให้เราต้องผิดกฎเลย ท่านสิงห์ เราบอกสิ่งใดกับท่านมิได้มากหล่อนทิ้งคำพูดสุดท้ายเหมือนให้ความหวัง

ท่านจงยึดมั่นในศรัทธาหล่อนพูดจบก็ยิ้มหวาน ยิ้มของหล่อนถ้าชายคนใดเห็นแล้วก็ต้องระทวย เพราะนอกจากรอยยิ้มที่มีเสน่ห์ของหล่อนแล้ว บริเวณแก้มทั้งสองข้างของหล่อนยังมีรอยบุ๋มอยู่ทั้งสองข้าง หรือที่เรียกว่าลักยิ้มนั้นเอง

ถึงเวลาของเราแล้ว ที่เราจะต้องลาจากท่านหล่อนพูดออกมาเรียบๆ แต่แอบซ้อนแววตาโศกเศร้า จนสิงห์รู้สึกใจหาย

แล้วผมจะได้พบคุณอีกหรือเปล่าครับสิงห์ร้องถาม ที่เห็นหล่อนลุกขึ้นทำท่าจะเดินจากไป

ทุกราตรีกาล ถ้าท่านต้องการพบเรา ท่านจงระลึกถึงเรา เมื่อนั้นเราจะได้พบกันอีกหล่อนพูดแล้วเดินหันหลังเข้าไปที่โคนต้นตะเคียนยักษ์

เดี๋ยวครับ เดี๋ยวก่อน คุณชื่ออะไรสิงห์ร้องตะโกนถาม ได้ผล หล่อนหยุดชะงัก แล้วหันมายิ้มหวานอีกครั้ง แล้วตอบชายหนุ่มพร้อมรอยยิ้มหวานนั้นว่า

เรามีนามว่า พลับพลึง

พลับพลึง พลับพลึง สิงห์พูดทบทวนอยู่เช่นนั้น ก่อนที่ร่างของหล่อนจะเรือนหายไปราวกับหมอกควัน พร้อมๆ กับเปลวไฟที่ค่อยๆ มอดลงช้าๆ ไม่ผิดอะไรจากสภาพเดิมในตอนแรก ที่เขาคิดจะนำฟืนมาเติมก่อนนอน

เหมือนอยู่ที่แค้มป์ไม่มีอะไรผิดเพี้ยน คิดอยู่ในใจไว้ว่าไหนๆ ก็ต้องมาผูกเปลนอนกับต้นตะเคียนยักษ์ต้นนี้แล้ว จะเดินกลับแค้มป์มืดๆ ค่ำๆ แบบนี้ก็ ยังไงๆ อยู่ เพราะไฟฉายก็ไม่มี เลยตัดสินใจว่านอนที่นี้เสียเลย พรุ่งนี้เช้าค่อยเดินกลับ มองไปรอบๆ ตัวเพื่อหาฟืนจะมาสุมไฟแก้หนาว พลันก็เหลือบไปเห็นท่อนฟืนสองสามท่อนตกอยู่ใกล้ๆ จึงก้มลงไปหยิบ จังหวะนั้นเองเขาก็เห็นความผิดปกติบางอย่างเมื่อยกนาฬิกาขึ้นดู เขาก็ต้องประหลาดใจอีกครั้ง

เข็มนาฬิกาบอกเวลาที่ ตีหนึ่งยี่สิบเก้านาที มันเป็นเวลาเดียวกับที่เขายกขึ้นดูเมื่อไม่นานมานี้ จะว่านาฬิกาเสียก็ไม่น่าจะเป็นไปได้ เพราะเข็มวินาทีก็ยังเดินไม่หยุด นี่มันอะไรกัน ตั้งแต่เหตุการณ์ประหลาดเริ่มต้นขึ้น อย่างน้อยๆก็ต้องใช้เวลาไม่ต่ำกว่า 10 นาที แต่นี่ทำไมเวลายังไม่ได้ขยับไปไหนเลยแม้แต่นาทีเดียว

และเมื่อเขาเงยหน้าขึ้นมาจากนาฬิกา เขาก็ยิ่งตกใจเข้าไปอีก อะไรกัน เมื่อกี้เราไปโผล่ที่ต้นตะเคียนยักษ์นั่น แล้วไหนเลยถึงกลับมาโผล่ที่แค้มป์ มองไปรอบๆให้แน่ใจอีกครั้ง ตาโส่ยก็นอนขดอยู่นั่น ไม่ได้เห็นเฉพาะพรานเฒ่าอย่างเดียว เขามองเห็นทุกคน ทุกชีวิต ไม่มีสิ่งใดผิดเพี้ยนไปจากเดิมเลยแม้แต่นิดเดียว ในยามนี้ไม่มีอะไรทำได้ดีไปกว่าการ ตั้งสติ

ใช่ เข้าต้องรวบรวมสมาธิและลำดับเหตุการณ์ต่างๆที่เกิดขึ้น เพราะยังไม่แน่ใจตัวเองอยู่ดีว่าสิ่งที่เกิดขึ้นนั้น มันคืออะไรกันแน่ ความจริง หรือความฝัน จะว่าฝันร้ายเราก็ไม่ได้หลับนี่ เพราะดูจากนาฬิกาแล้วมันก็ไม่น่าเป็นไปได้ คนอะไรจะฝันภายในเวลาไม่ถึงนาที หรือว่าเป็นความจริงๆ ยิ่งคิดยิ่งสับสน

ยังไม่นอนอีกรึ ไอ้สิงห์เจ้าของเสียงเรียก ไม่ใช่ใครที่ไหน มันเป็นเสียงของพรานเฒ่าที่ตอนนี้ผงกหัวขึ้นมาร้องถาม เล่นเอาสิงห์ที่คิดอะไรอยู่เพลินๆสะดุ้งสุดตัว

ปัดโธ่…ตกใจหมด! เดี๋ยวก็นอนครับ สุมฟืนอีกสักหน่อย สิงห์ตอบกลบเกลื่อน พูดจบก็เดินไปลากท่อนฟืนท่อนใหญ่ๆสองสามท่อนใส่ลงไปในกองไฟ

หลังจากพรานชราคุยอะไรกับสิงห์สองสามคำ พรานชราก็ซุกตัวนอนในโปงผ้าห่มของแกเหมือนเดิม ส่วนสิงห์หลังจากเติมฟืนในกองไฟจนบริเวณแค้มป์สว่างโพลงแล้ว ก็มุดตัวเข้าไปนอนในเปลสนามของเขา ลมหนาวพัดมาอีกวูบ จนเขาต้องนอนห่อตัวเข้าไปในถุงนอน ขนาดมีเสื้อแจ็คเก็ตกันหนาวใส่แล้ว ยังรู้สึกเย็นยะเยือกได้เพียงนี้ แถมมาเจอเรื่องลีลับกับตัวเองอีก

ใครจะไปนอนหลับลง เลยต้องนอนตาแป๋วอยู่บนเปลแบบนั้น ครั้นนอนหลับตาเผื่อจะได้หลับ ก็พลันเห็นหน้าหล่อนคนนั้นอีก คิดในแง่ดี ถ้าหล่อนคิดจะมาทำร้ายหรือมาหลอกหลอนเรา ก็คงจะมาในรูปแบบที่น่ากลัว แต่นี้ หล่อนมาในรูปแบบที่สวยงามไม่มีพิษภัย หรือทำให้เข้าต้องหวาดกลัวเลย ในเมื่อพยายามที่จะข่มตานอนแล้วก็ทำไม่ได้ นึกถึงพระพุทธคุณก็แล้ว มันก็ยังไม่หลับ ที่ทำได้ตอนนี้ก็คือนอนนับดาวบนท้องฟ้า ซึ่งก็ดูเหมือนว่าจะเต็มใจให้กับเขา เพราะคืนนี้ท้องฟ้าเปิดไม่มีเมฆหมอกมาบทบังเลย เห็นหมู่ดาวระยิบระยับมากมาย เห็นแม้กระทั้งหมู่ดาวทางช้างเผือกที่ทอดตัวเป็นทางยาว

ลมหนาวพัดมาอีกครั้งแต่ครั้งนี้มันหอบเอากลิ่นหอมของดอกไม้มาด้วย และถ้าสิงห์จำไม่ผิด มันเป็นกลิ่นหอมกลิ่นเดียวกับหล่อนคนนั้น หล่อนคนที่ทำให้เขานอนไม่หลับในขณะนี้ พอมานึกถึงเหตุการณ์ที่ผ่านมา ก็อดยิ้มไม่ได้ ถ้าเป็นคน เธอก็คงเป็นผู้หญิงที่แก่นแก้วมาก ที่มาแกล้งให้เรานอนไม่หลับ ทั้งหมดนี้สิงห์คิดอยู่ในใจคนเดียว เหตุการณ์นี้เขาจะจดจำและไม่มีวันลืมไปจนตาย รวมถึงหล่อนคนนั้นด้วย หล่อนคนที่มีนามว่า พลับพลึง…….

ตอนที่แล้ว

ตอนต่อไป

Advertisements
แหล่งที่มาหนุ่มธุดงค์ไพร