เรื่องจริงของ ‘ไอ้ด่างบางมุด’ โคตรเพชฌฆาตตั้งแต่ต้นจนจบ

ใครเคยเห็นจระเข้ในธรรมชาติ ด้วยตาตัวเองยกมือขึ้น ผมคนนึงเนียละไม่เคย โดยเฉพาะจระเข้พันธุ์ไทยแท้ ยิ่งไม่ต้องพูดถึง แต่ต้องบอกว่าในอดีตประเทศไทยมีจระเข้เยอะมาก ทั้งสายพันธุ์น้ำจืดและสายพันธุ์น้ำเค็ม จนมีตำนานมากมายเกี่ยวกับจระเข้ ไม่ว่าจะ ไอ้ด่างเกยชัย ไอ้ด่างบางมุด และในตอนนี้จะขอนำเรื่อง ไอ้ด่างบางมุด มาเล่าให้ฟังกัน ..มีคลิปท้ายเรื่อง

ปกติ “จระเข้” เป็นสัตว์กระหายเลือดและจะกินคนหรือไม่?

Advertisements

จริงๆ แล้วจระเข้ไม่ได้เป็นสัตว์กระหายเลือด ถึงแม้มันจะเป็นสัตว์นักล่าที่ดุร้าย แต่มันจะล่าเฉพาะเมื่อหิว มันจะกินอาหารอย่างมากที่สุดก็วันละครั้ง และกินน้อยมากด้วย คิดเป็นน้ำหนักประมาณ 3-5 % ของน้ำหนักตัวเท่านั้น และมันก็ไม่ได้อยากกินคนด้วย

มีความเชื่อที่ว่า หากบังเอิญจระเข้ได้กินคนเข้าไปสักครั้งหนึ่ง มันก็มักจะเปลี่ยนนิสัยเป็นชอบกินคนบ่อยขึ้น ซึ่งจระเข้ที่กินคนนั้นโดยธรรมชาติแล้วจะเป็นจระเข้ที่มีขนาดรูปร่างใหญ่และดุร้ายมาก และมักจะเป็นจระเข้น้ำเค็ม อย่างที่เคยเห็นตามข่าวในอดีตเช่น ไอ้ด่าง บางมุด ที่เป็นจระเข้น้ำเค็มขนาดใหญ่ เคยอาละวาดกินคนที่คลองบางมุด จังหวัดชุมพร ในช่วงปีพ.ศ. 2507 โดยตามรายงาน มันกินคนไป 6 ศพ

“รู้หรือไม่สัตว์ที่มีแรงกัดมากที่สุดในโลกคือ จระเข้แม่น้ำไนล์ แรงกัด 5,000 ปอนด์ต่อตารางนิ้ว”

จระเข้ยักษ์ “ไอ้ด่าง บางมุด” ไล่กินคน!

ถึงแม้จะบอกว่าเป็นตำนาน แต่นี่คือเรื่องที่เกิดขึ้นจริง “ไอ้ด่าง บางมุด” ย้อนกลับไปเมื่อช่วง ตุลาคม พ.ศ. 2507 ข่าวจระเข้ขนาดใหญ่ปรากฏตัวมาในคลองบางมุด จ.ชุมพร และไล่กัดกินคนตามตลิ่งเริ่มแพร่สะพัดไปทั่ว จากเสียงเล่าลือของคนใช้เรือสัญจรกลายเป็นข่าวในหน้าหนังสือพิมพ์ใหญ่โต

29 ตุลาคม พ.ศ.2507 หนังสือพิมพ์ฉบับหนึ่ง ลงภาพแผนที่โดยสังเขปของคลองบางมุด พร้อมคาดการณ์ว่าเป็นเส้นทางที่จระเข้ยักษ์ “ไอ้ด่าง” ออกอาละวาดล่าคนเป็นอาหาร นอกจากนี้คำเล่าลือว่า เมื่อประมาณ​ 7-8 ปี ก่อนหน้านั้น เชื่อว่าจระเข้ยักษ์ตัวนี้ เคยออกอาละวาดไล่กัดคนในแม่น้ำแสงแดด อ.เมืองชุมพร มาแล้ว 1 คน ครั้งนั้นชาวบ้านออกล่าตัวก็หาไม่เจอ จนถึงวันที่ ชาวบ้านแถบนั้นเชื่อว่า “จระเข้ตัวนั้นมันกลับมาแล้ว”

ภาพไอ้ด่าง บางมุด จาก หนังสือ กรุข่าวดัง

หนังสือพิมพ์สมัยนั้น เขียนบรรยายว่า คลองบางมุดเป็นลำน้ำสายใหญ่ ลึกยิ่งกว่าคลองบางกอกน้อยในกรุงเทพฯ น้ำมีลักษณะใสเขียว มีทางแยกไปถึงแม่น้ำหลายสาย เช่น แม่น้ำชุมพร, แม่น้ำตะโก และ แม่น้ำตาปี จังหวัดสุราษฎร์ธานี จนกระทั่งทะลุทะเลที่บริเวณสามเหลี่ยมปากน้ำชุมพร และตรงสามเหลี่ยมนี้เองที่เชื่อมไปยังแม่น้ำแสงแดดได้ ชาวบ้านจึงเชื่อว่า “มันเป็นตัวเดียวกัน!”

จระเข้ขนาดใหญ่ที่ยาวมากกว่า 4 วา!

4 วา นั้นเท่ากับ 8 เมตร! ต้องบอกว่าจระเข้ขนาด 8 เมตรเป็นขนาดที่เหมือนจะเกินจริง (ข้อมูลบอกวัดจริงได้ 4 เมตรกว่า) แต่จากการคาดการณ์ของสื่อในสมัยนั้น ระบุว่า จระเข้ยักษ์ตัวนี้ มีลักษณะคอด่างสีขาวตัดกับส่วนหน้า ลำตัวดำสนิท ไม่มีตะไคร่น้ำจับเกาะทั่วตัว

ชาวบ้านขนานนามว่า “ไอ้ด่าง” มีขนาดยาวตั้งแต่หัวจรดท้ายถึง 4 วาเศษ เฉพาะส่วนหัวยาวประมาณ 2 ศอกเศษ ลำตัวใหญ่กว่าถังน้ำมันขนาด 200 ลิตร และเมื่อมันกินคนแล้ว มันจะอิ่มและซ่อนตัวนาน 15 วัน แล้วค่อยลอยหาเหยื่อรายใหม่

และหนังสือพิมพ์ในอดีต ได้พูดถึงนิสัยของมันไว้ว่า เป็นพันธุ์ “ไอ้เคี่ยม” หรือ พันธุ์ “ทองหลาง” อยู่ได้ทั้งน้ำกร่อยและน้ำเค็ม มีตีนเป็ดเป็นพืดแผ่เต็มระหว่างเล็บของมันเพื่อง่ายในการออกทะเลอย่างรวดเร็ว และเป็นพันธุ์ที่ร้ายมาก “ชอบกินคน”

“หากได้กินเนื้อคนแล้วก็จะหากินอยู่เรื่อยๆ เช่นเดียวกับเสือ” หนังสือพิมพ์ในสมัยนั้นวาดภาพไอ้ด่าง…

ความกลัวขยายตัว จนต้องให้รางวัลค่าหัว ตั้งทีมไล่ล่า!

Advertisements

เรือนับร้อยลำมุ่งตรงไปที่คลองบางมุด นักล่ามากวิชา ทั้งเวทมนตร์คาถา อาวุธมากมาย ฉมวก ไฟฟ้า ปืน อวน กระทั่งระเบิดก็เอามาใช้

จากนักล่า ก็ถูกล่า!

ทั้งนี้นักล่าจระเข้แต่ละคนก็จะมีความถนัดแตกต่างกัน และมีที่มาจากหลายจังหวัด เช่น ปัตตานี ร้อยเอ็ด อ่างทอง สุราษฎร์ธานี เป็นต้น มีอยู่ครั้งหนึ่ง ขณะที่นักล่ากำลังตามอยู่นั้น “ไอ้ด่าง” ก็โผล่ขึ้นกลางลำน้ำ หลังจากนักล่าหย่อนระเบิดกระป๋องลงไปนับสิบลูก ไอ้เคี่ยมพุ่งพรวดงาบเรือรวมถึงขาชาวบ้าน ที่พลาดเป้าไปเพียงแค่คืบ เมื่อเห็นดังนั้น ปืนทุกกระบอกก็หันมาเล็งใส่ “ไอ้ด่าง” สุดท้ายมันก็หนีไปได้ เวลาผ่านไปนับเดือน มีการตั้งรางวัล 8,000 บาท ก็ยังไม่สามารถล่าสำเร็จ

วันปราชัยของเพชฌฆาตเงียบ

วันที่ 20 พฤศจิกายน 2507 เป็นวันปราชัยของ “ไอ้ด่างบางมุด” สิบเอกจำนง พิมาน (ยศในตอนนั้น) พร้อมเพื่อนทหาร รวมกัน 4 นาย ได้แกะรอยไล่ล่าตัวมันมา 2 วันเต็ม กระทั่งตามไปถึง “วัง” ที่มันใช้กบดานอยู่ และเมื่อรู้แน่ชัดจึงหย่อนระเบิด C-3 ที่บรรจุในกระป๋องไปที่วังของมัน

ตูม!!…ระเบิดลูกแรกทำให้ ไอ้ด่างรู้ตัวและพยายามจะหนี สิบเอกจำนง กับพวกไม่รอช้า หย่อนระเบิดไปอีกชุด ตูม…ตูม ระเบิดลูกหนึ่งโดนกลางหลังไอ้ด่าง ทำให้กระดูกสันหลังของมันหัก จากนั้นก็ช่วยกันล่ามไว้กับเรือ และลากมันขึ้นมา

ไอ้ด่าง ค่อยๆ ตายอย่างช้าๆ โดยก่อนจะฆ่ามันมันได้ ก็ทราบว่าไอ้ด่าง ได้ไปกินเหยื่อเป็นชาวบ้านขณะแบกต้นกล้วยฝ่าน้ำที่สูงเท่าเอว ซึ่งบริเวณที่ไอ้ด่างมันกบดาน ก่อนจะพุ่งงาบเข้ากลางลำตัวแล้วลากเหยื่อไปกิน

ซากไอ้ด่าง หากมองเทียบกับตัวคน จะเห็นว่าตัวใหญ่มาก ตัวยาวถึง 4 วา หรือเปล่าคงต้องตัดสินกันเอาเอง
Advertisements

หลังจากที่ฆ่าไอ้ด่างสำเร็จ ก็ต้องตกตะลึง! เพราะเมื่อผ่าท้องจระเข้ยักษ์ พบกะโหลก 2 หัว จากได้มีการซื้อขายซาก “ไอ้ด่าง” ในราคา 7,000 บาท (แม่ะก็ยังซื้อกันได้หลังผ่านเรื่องสลด) และได้นำซากมันเข้ากรุงเทพฯ แล้วได้ขายต่อในราคา 23,000 บาท

จากนั้นจึงมีการเปิดให้ผู้คนได้ชม คิดคนละ 1 บาท คาดว่าสามารถหาเงินจากซากไอ้ด่างนับแสนบาท ขณะที่ “คนหัวใส” แอบอ้างว่า มี “ไอ้ด่าง” นำมาโชว์เพื่อหากิน เจ้าของตัวจริงก็ถึงกับต้องไปแจ้งความ แต่เอาผิดไม่ได้เพราะเจ้าทุกข์ตัวจริงอย่าง “ไอ้ด่าง” สิ้นชีพไปแล้ว ..และนี่คือตำนานของไอ้ด่างบางมุด

“เมื่อวันที่ 29 เม.ย.61 นายวัชรินทร์ สุวพิศ ปลัดอบต.สะพลี อ.ปะทิว แจ้งผู้สื่อข่าวว่า ศพของ พ.ต.จำนงค์ พิมาน อายุ 86 ปี ซึ่งเป็นมือปราบ “ไอ้ด่างบางมุด” ผู้โด่งดังทั่วประเทศไทย ได้เสียชีวิตด้วยโรคชรา ถือเป็นการปิดตำนาน มือปราบไอ้ด่างบางมุด จระเข้กินคน”

อ่านเรื่องอื่น

Advertisements
แหล่งที่มาthairath.co.th