นี่คือการแข่งโอลิมปิกที่รวมความวายป่วงซะจนชาตินี้จะไม่มีอีก

เรื่องราวเกิดขึ้นในปี 1904 มันเป็นโอลิมปิกครั้งแรกที่จัดขึ้นในอเมริกา และยังเป็นครั้งแรกที่จัดนอกยุโรปอีกด้วย โดยเรื่องราวเกิดขึ้นที่เมืองเซนต์หลุยส์​ รัฐมิสซูรี และมี 12 ประเทศที่เข้าร่วมการแข่งขันนี้ ..มันคือโอลิมปิกที่เลวร้ายที่สุดครั้งหนึ่ง

โอลิมปิก

วิ่งมาราธอนโอลิมปิก ปี 1904 ที่เป็นตำนาน มันเป็นการแข่งที่เต็มไปด้วยเหตุชุลมุน อื้อฉาว หน้าด้าน จะเรียกว่าความชั่วร้ายทั้งหมดเอาไว้เลยก็ได้ โดยการแข่งเป็นเส้นทางระยะ 40 กิโลเมตร ถนนที่เต็มไปด้วยฝุ่น มีเศษหิน เกวียนส่งของ รถราง รถเข็น และผู้คนที่พาสุนัขไปเดินเล่น มีและมีเนินเขาสูง 100 – 300 ฟุต ประมาณ 7 แห่ง

ในวันนั้นที่จุดสตาร์ทมีนักวิ่ง 32 คน พวกเขาถูกปล่อยตัวในช่วงบ่าย โดยต้องวิ่งผ่าน “สนามแข่งที่ยากที่สุดเท่าที่มนุษย์เคยวิ่งมา” แถมเจ้าหน้าที่ตั้งใจว่าจะให้นักวิ่งได้รับน้ำน้อยที่สุด โดยอ้างว่าต้องการทดสอบขีดจำกัดและผลกระทบจากการขาดน้ำ

นักวิ่งคนแรกที่เกือบตายเพราะขาดน้ำ “วิลเลียม การ์เซีย” นักวิ่งจากแคลิฟอร์เนีย เขาเป็นคนแรกที่เกือบจะเสียชีวิตในการแข่งวิ่งมาราธอนครั้งนี้ เขาทรุดลงไปนอนข้างทางด้วยอาการตกเลือด และผลกระทบจากฝุ่นละอองตามถนน โชคดีที่ถูกนำส่งโรงพยาบาลได้ทัน ..จึงรอดชีวิตมาได้อย่างหวุดหวิด

นักวิ่งที่ถูกฝูงหมาป่าไล่กัด “เลน เทา” มาจากแอฟริกาใต้​ เขาต้องหนีตายจนหลุดออกจากเส้นทางไปหลายกิโลเมตร แต่ผู้ชมหลายคนบอกว่าเรื่องแบบนี้ไม่เห็นจะเกิดขึ้น

“เฟลิกซ์ คาร์วาจาล” นักวิ่งชาวคิวบา ผู้มาในชุดอันหล่อเหลา​ เขาระดมทุนเพื่อมาใช้ในการแข่งขันโดยการวิ่งไปทั่วคิวบา​ แต่เมื่อเขาวิ่งมาถึงเมืองนิว​ออร์ลีนส์ในรัฐหลุยส์​เซียน่า เขากลับสูญเงินไปกับการพนันจนหมด​ตูด ทำให้ต้องเดินและโบกรถไปเมืองเซนต์​หลุยส์​ และเขาก็มาทันเวลาแบบฉิวเฉียด เขาไม่มีเวลาแม้แต่จะเปลี่ยนชุด สุดท้ายต้องวิ่งโดยใส่เสื้อแขนยาว กางเกงสแล็ค​ขายาว​ สวมใส่รองเท้าลำลอง​ แลดูน่าสงสาร .. แต่เรื่องของเขาคนนี้ไม่ได้มีแค่นี้

เฟลิกซ์ คาร์วาจาล แรกเริ่มวิ่งด้วยกางเกงขายาว สุดท้ายมีคนสงสารเลยหากรรไกรมาตัดให้

นักวิ่งชาวคิวบาคนนี้วิ่งไปเจอรถคันหนึ่ง​ เขาเห็นเจ้าของรถกำลังกินลูกพีชอยู่จึงขอแบ่งมากิน​ แต่ก็ถูกปฏิเสธ​ เขาจึงฉกเอามาดื้อ​ๆ​ สองลูก​ ไม่ไกลจากจุดแรก เขาไปเจอสวนผลไม้​ จึงแอบไปขโมย​กินแอปเปิ้ล​ คราวนี้กรรมสนอง​ กลายเป็นว่าแอปเปิ้ลที่เขากินไปนั้นเน่า​ ทำให้เกิดอาการปวดท้องรุนแรง​ เขาจึงล้มตัวลงนอนแล้ว​หลับไป​ แต่ถึงกระนั้นเมื่อเขาตื่นขึ้นมาก็ยังสามารถวิ่งเข้าเส้นขัยได้เป็นลำดับที่ 4 ได้ – -. (งงอะดิ)

“เฟรด ลอร์ซ” ผู้โบกรถโดยสาร! เขาเป็นหนึ่งในผู้นำอันดับแรก เกิดเป็นตะคริวหลังวิ่งไปได้เพียง 14 กิโลเมตร จึงตัดสินใจโบกรถที่ผ่านทางมา แต่แทนที่จะแอบๆ เขาดันโบกมือโบกไม้ให้กับผู้ชมและนักวิ่งระหว่างทาง

“เฟรด ลอร์ซ” Fred Lorz ผู้โบกรถโดยสาร!

ระหว่างทางมีนักวิ่ง “โธมัส ฮิคส์” เป็นนักวิ่งชาวอเมริกา เขาวิ่งมาได้ 17 กิโลเมตรแล้ว คนนี้พิเศษหน่อย เพราะมีทีมงาน 2 คนขนาบข้างอยู่ด้วย แต่ดูเหมือนทีมงานจะไม่ได้มาเพื่อให้ฮิคส์สบายเท่าไร เพราะเมื่อเขาขอน้ำกินก็ถูกปฏิเสธ แต่ทีมงานกลับเอาน้ำมาชุบปากเขาแทน จนอีก 11 กิโลเมตรจะถึงเส้นชัย ทีมงานให้เขากินไข่ขาวผสมสตริกนิน มันเป็นสารที่ถูกใช้เป็นยาเบื่อหนูและสัตว์ชนิดอื่น แต่หากใช้น้อยจะเป็นยากระตุ้น โดยในสมัยนั้นยังไม่มีกฎห้ามในการใช้ยาโด๊ป

กลับมาที่ “เฟรด ลอร์ซ” ขณะที่เขานั่งรถสบายๆ มาจนขาหลายเป็นตะคริว และเหลืออีก 17 กิโลเมตร เขาก็โดดลงรถ ตอนนั้นทีมงานของฮิคส์เห็นพอดี จึงบอกให้เขาหยุดวิ่ง เพราะมันขี้โกงไปนะ แต่ลอร์ซก็ไม่สนใจวิ่งต่อไปจนเข้าเส้นชัยคนเป็นแรก

โธมัส ฮิคส์ ผู้มีทีมงาน 2 คนขนาบข้างจนได้อันดับ 1
Advertisements

ฝูงชนโห่ร้องเสียงดังกระหึ่ม “อลิซ รูสเวลท์” ลูกสาวของประธานาธิบดี “ธีโอดอร์ รูสเวลท์” กำลังจะคล้องเหรียญทองให้ “เฟรด ลอร์ซ” ผู้โบกรถโดยสาร! อยู่แล้ว จนมีพยานเห็นว่าเขาโกงได้ประท้วงขึ้นมา เสียงโห่ไล่ดังไปทั่ว สุดท้ายลอร์ซยิ้มออกมาแล้วบอกว่าตัวเขาไม่ได้ตั้งใจจะรับรางวัลอยู่แล้ว ที่วิ่งเข้าเส้นชัยก็เพราะทำไปแค่ขำๆ

กลับไปที่ฮิคส์ (ที่เพิ่งโดนยาเบื่อหนูไป) ตอนนี้สารสตริกนินกำลังได้ที่ ทำให้ใบหน้าของเขาซีดเผือด แขนขาก็อ่อนเปลี้ย แต่เมื่อได้ยินว่าลอร์ซถูกตัดออกจากการแข่งขันก็ทำให้เขามีแรงฮึดขึ้นมาอีก ทีมงานจัดแจงป้อนไข่ผสมสตริกนินให้เขากินอีกครั้ง คราวนี้จัดหนักกว่าเดิม มีการผสมบรั่นดีเพื่อให้ลื่นคอขึ้นอีก ทีมงานยังเอาผ้าชุบน้ำอุ่นมาเช็ดตามตัวของฮิคส์ ซึ่งก็ทำให้เขาฟื้นตัวและเร่งฝีเท้าขึ้นได้อีก (เพื่อชัยชนะทำไรก็ได้)

พอใกล้จะถึงเส้นชัย ฮิคส์ก็มีสภาพที่ดูไม่จืด เขาพยายามจะวิ่งแต่กลายเป็นว่าต้องเดินลากเท้าแทน ทีมงานต้องเข้ามาช่วยพยุงจนเส้นชัยสำเร็จ และเขาก็ได้รับการประกาศชื่อว่าเป็นผู้ชนะ หลังจากนั้นต้องอาศัยหมอ 4 คนและเวลาอีก 1 ชั่วโมง เพื่อทำให้ฮิคส์อาการดีขึ้นจนลุกจากพื้นได้ เขาสูญเสียน้ำหนักไปถึง 3.6 กิโล ในการแข่งครั้งนี้ .. เรียกว่าเกือบตาย

ฮิคส์กับลอร์ซ กลับมาเจอกันอีกครั้งในการแข่งที่บอสตันมาราธอนในปีถัดมา ซึ่งคราวนี้ลอร์ซเอาชนะไปได้โดยปราศจากกลโกง “การใช้สารกระตุ้นของฮิคส์ถูกบันทึกเอาไว้ว่าเป็นการใช้ยาเป็นครั้งแรกในโอลิมปิกสมัยใหม่”

อ่านเรื่องอื่น

Advertisements
อ้างอิง
  • คุณ Sarawut Thongseng จากกรุ๊ป “The Wild Chronicles สมาคมผู้สนใจประวัติศาสตร์ สงคราม เรื่องต่างประเทศ”
  • smithsonianmag.com
Advertisements