ประวัติศาสตร์มืด ‘สมัน’ ที่เคยพบในกรุงเทพ สูญพันธุ์ไปได้ยังไง?

หากได้รู้นิสัยของ "สมัน" จะไม่แปลกใจเลยที่มันจะเป็นสัตว์ป่าที่สูญพันธุ์ไปโดยสมบรูณ์ โดยเฉพาะเมื่อมันเป็นกวางที่มีเขาสวยมาก มันสวยซะจนได้ชื่่อว่าเป็น "กวางเขาสวยที่สุดในโลก" แต่สิ่งที่ทำให้พวกมันสูญพันธุ์อย่างรวดเร็ว นอกจากจะถูกมนุษย์ล่าแล้ว มันยังมีเหตุอื่นอีกด้วย

สมันคืออะไร?

Advertisements

สมัน หรือ เนื้อสมัน (Schomburgk’s deer) มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Rucervus schomburgki (รูเซอร์วัส ชอมเบิร์กกี้) มันคือสัตว์เฉพาะถิ่นที่อาศัยอยู่บริเวณที่ราบลุ่มภาคกลางของประเทศไทยเท่านั้น แน่นอนว่าพวกมันเคยมีอยู่มากมายแม้ในพื้นที่กรุงเทพ แต่ปัจจุบันสมันได้สูญพันธุ์ไปโดยสมบรูณ์ คงเหลือเพียงซากและภาพถ่ายไม่กี่ใบเท่านั้น

สมันมีขนสีน้ำตาลเข้ม ขนที่ท้องมีสีอ่อนกว่า ริมฝีปากล่างและด้านล่างของหางเป็นสีขาว มีลักษณะเด่นคือ ตัวผู้จะมีเขาแตกแขนงออกไปมากมายเหมือนกิ่งไม้ แลดูสวยงาม จึงได้ชื่อว่าเป็นกวางที่มีเขาสวยที่สุดในโลก มีกิ่งเขาที่ยื่นออกไปข้างหน้ายาวกว่ากิ่งเขาของกวางชนิดอื่นๆ อย่างเห็นได้ชัด

สมันมีความยาวลำตัว 180 เซนติเมตร ความยาวหาง 10 เซนติเมตร มีความสูงจากพื้นดินถึงหัวไหล่ 100-110 เซนติเมตร น้ำหนักประมาณ 100-120 กิโลกรัม สมันนั้นวิ่งเร็วประมาณ 100 กิโลเมตรต่อชั่วโมงซึ่งถือว่าเร็วมาก

แต่น่าเสียดายที่ถิ่นที่อยู่ของมันเต็มไปด้วยมนุษย์คนไทย เพราะสมันเป็นสัตว์ที่อาศัยอยู่ในทุ่งโล่งกว้าง และพวกมันก็ไม่สามารถหลบหนีเข้าป่าทึบได้ เนื่องจากกิ่งก้านของเขาที่สวยงามของมัน จะไปติดพันกับกิ่งไม้ จึงเป็นจุดอ่อนให้ถูกล่าได้อย่างง่ายดาย

ในอดีตชาวบ้านจะล่าสมันด้วยการสวมเขาปลอมเป็นตัวผู้ เพื่อล่อตัวเมียออกมาจากนั้นจึงใช้ปืนหรือหอกพุ่งยิง …ด้วยความที่หลอกง่าย จึงเป็นจุดจบของสมันเช่นกัน

ความตายของสมันตัวสุดท้ายของไทย

หากนับย้อยไปในปี พ.ศ. 2422 สมันยังคงมีอยู่ในประเทศไทย ว่ากันว่ายังเห็นวิ่งอยู่ บริเวณท้องทุ่งรอบพระนคร ได้แก่ ทุ่งรังสิต บางเหี้ย บางปู และบางบ่อ จนในปี พ.ศ. 2450 ก็ยังมีประวัติการพบสมันอยู่ในจังหวัดภาคกลาง เช่น แถบแม่น้ำสุพรรณบุรีและแม่น้ำน้อย จนในปี พ.ศ. 2469 พื้นดังกล่าวได้ถูกเปิดให้ทำนาข้าว เป็นเหตุให้สมันถูกล่า และถือเป็นยุคมืดของสมันอย่างแท้จริง

Advertisements

จนในปี พ.ศ. 2475 สมันที่เข้าสู้สภาพใกล้สูญพันธุ์สุดขีด นายอำเภอจังหวัดกาญจนบุรี ก็ล่าสมันได้ 2 ตัว แน่นอนว่าพวกมันทั้งหมดตาย และนี่คือตามตายของสมัน 2 ตัวสุดท้ายที่พบในธรรมชาติประเทศไทย ต่อมาหน่วยราชการเพิ่งรู้ตัวว่าสมันอาจสูญพันธุ์ไปแล้วจริงๆ เพราะไม่เคยมีใครเจอตัวสมันมาหลายปี

จนในปี พ.ศ. 2481 ก็มีข่าวการพบสมันตัวผู้ 1 ตัว ซึ่งถูกเลี้ยงไว้โดยสมภารที่วัดแห่งหนึ่งในมหาชัย เขาได้เลี้ยงสมันตัวผู้เอาไว้ ด้วยเหตุนี้หน่วยราชการจึงติดต่อขอซื้อสมันตัวดังกล่าว แต่น่าเสียดายสมันถูกชายขี้เมาตีจนตาย เพียงเพราะมันขวางทางเดิน …และนี่คือความตายของสมันตัวสุดท้ายของประเทศไทย

สำหรับสมันตัวสุดท้ายของโลก เท่าที่มีการบันทึก คือสมันตัวผู้ที่ถูกเลี้ยงดูในสวนสัตว์เบอร์ลิน ตั้งแต่วันที่ 29 กรกฎาคม พ.ศ. 2442 และตายลงไปในวันที่ 7 กันยายน 2454 ซึ่งถือเป็นตัวสุดท้ายในโลก

ประเทศไทยไม่มีซากของสมันแม้แต่ตัวเดียว

ใช่แล้วแม้สมันจะเป็นสัตว์เฉพาะถิ่นของประเทศไทย แต่เราก็ไม่มีซากของสมันแม้แต่ตัวเดียว และเป็นเหมือนเรื่องตลกที่เราอาจไม่มีภาพถ่ายของสมันที่ถ่ายในประเทศไทยด้วยซ้ำ

สมันตัวเดียวในโลกที่ถูกสต๊าฟเอาไว้ ก็ไม่ได้อยู่ในไทยอีกเช่นกัน แต่อยู่ที่พิพิธภัณฑ์ประวัติศาสตร์ธรรมชาติแห่งชาติ (Muséum National d’Histoire Naturelle) ในกรุงปารีส ประเทศฝรั่งเศส เป็นสมันที่ถูกสต๊าฟเอาไว้เต็มตัวและสมบูรณ์ แม้ว่าเขาของมันขาดลักษณะเด่นคือกิ่งที่สลับซับซ้อน แต่นี่คือตัวอย่างเดียวของสมันที่หลงเหลืออยู่บนโลก

“ในหนังสือ Lost Animals ระบุว่า ทุกวันนี้มีเขาของสมันเหลืออยู่ 490 ชิ้น ซึ่งอยู่ตามพิพิธภัณฑ์และคอลเลกชั่นส่วนตัวทั่วโลก เขาที่สวยงามที่สุดมีถึง 33 กิ่งแขนง”

เอาละก็จบแล้วนะครับ สำหรับเรื่อง ประวัติศาสตร์มืดของ ‘สมัน’ ผมว่าเรื่องของสมันดูจะน่าเศร้าเป็นพิเศษ เพราะนอกจากพวกมันจะสูญพันธุ์ไปอย่างรวดเร็ว หากนับนิ้วดู ในปี พ.ศ. 2422 ที่พวกมันยังมีอยู่เยอะ จนในปี พ.ศ. 2481 ที่สมันตัวสุดท้ายของไทยโดนขี้เมาตีจนตาย มันไม่ถึง 60 ปีด้วยซ้ำ แถมสมันยังเป็นสัตว์ที่มีภาพถ่ายน้อยมากๆ อีกด้วย คงต้องบอกว่าประวัติศาสตร์สมันช่างมืดมนจริงๆ สุดท้ายก็หวังว่าข้อมูลส่วนนี้จะมีประโยชน์กับทุกคน

อ่านเรื่องอื่น

Advertisements
Advertisements