ฉิบหายแล้วไง เจออะไรเข้าแล้ว ไปพวกเรารีบไปดูกันเร็ว! สิงห์ร้องลั่น จบประโยคโดยไม่ต้องให้บอกซ้ำ ทุกคนก็พากันวิ่งกรูไปยังตำแหน่งนั้น โดยไม่ได้คำนึงถึงหนามไผ่ที่ขวางอยู่เบื้องหน้า อาจเป็นเพราะความตกใจ แต่ละคนจึงโดนหนามไผ่เกี่ยวเนื้อเกี่ยวตัวได้เลือดกันทั่วหน้า กว่าจะฝ่าดงไผ่ออกมาได้ ก็เลือดซิบถลอกปอกเปิกไปตามๆกัน แต่ภาพที่เห็นหลังจากพากันโผล่ออกมาจากดงไผ่ ภาพที่เห็นทำให้ทุกคนถึงกับผงะ โดยเฉพาะสิงห์ถึงกับขนลุก
ห่างออกไปเกือบสิบวา อสรพิษ สีดำมะเมื้อม ชูคอแผ่แม่เบี้ยหรา อยู่เหนือจอมปลวกใต้กอไผ่ เคิ้งและพุ่มไม่รู้ว่าหายไปไหน เห็นเพียงแต่ปืนแก๊ปที่ถูกทิ้งกองอยู่กับพื้น พร้อมสำภาระต่างๆ ก็ถูกทิ้งกระจัดกระจายเกลื่อน แต่ไม่นานก็มีเสียงกู่มาจากยอดไม้ใกล้ๆ
วู้
บนนี้ พวกฉันอยู่บนนี้ เจ้าเคิ้งร้องเรียกเย้วๆมาจากยอดต้นยอ
มันมีสองตัว อีกตัวนอนตายอยู่ตรงนั้น เจ้าพุ่มร้องพลางชี้มือบอกไปยังตำแหน่ง ที่ร่างสีดำร่างหนึ่งนอนม้วนเป็นเกลียวข้างเป้ ดูแล้วยาวไม่ต่ำกว่าสองวา
เอาไงดีน้าเบ ท่าทางมันเอาเรื่องเราอยู่นะนั้น สิงห์กระซิบปากคอสั่น พลางมองไปยัง อสรพิษ อีกตัวที่เล่นเอาเถิดเจ้าล่อ กับเจ้าพะเปรี้ยวและเจ้าพะบอง ที่พากันวิ่งเห่าวนไปวนมาอยู่รอบกอไผ่นั้น
ไอ้พร อย่าเพิ่งรีบร้อน ดีไม่ดีเดี๋ยวถูกหมาข้า พรานเบพูดจบก็รีบปัดปืนลูกซองที่พรานพร ที่ทำท่าเตรียมเล็ง
พวกเอ็งอยู่ตรงนี้อย่าทำอะไรกระโตกกระตากล่ะ ปล่อยให้ข้าจัดการเอง พรานเบร้องบอกทุกคนในคณะ พูดจบก็ถอดเป้ที่สะพายออกมากองบนพื้น จากนั้นก็เปลี่ยนกระสุนปืนจากลูกเบอร์เก้าเม็ด มาเป็นลูกปรายแทน ปากก็ร้องเรียกหมาสองตัวไปพลาง
แต่หมาเจ้ากรรมกลับไม่ยอมเชื่อฟังคำสั่งผู้เป็นนาย ตรงกันข้ามพวกมันต่างช่วยกันล้อมหน้าล้อมหลัง วิ่งเข้าวิ่งออกดูวุ่นวายไปหมด ส่วนอสรพิษเขี้ยวมัจจุราชก็สู้ยิบตา มันพยายามฟาดหัวและคมเขี้ยวเข้าหาศัตรูของมันสุดฤทธิ์ทุกครั้งที่มันได้จังหวะ แต่มันก็พลาดไปทุกครั้ง เพราะด้วยเชิงของหมาพรานทั้งสองตัว พวกมันจึงไม่ยอมให้ทำเช่นนั้นได้ง่ายๆ เหตุการณ์ชุลมุนวุ่นวายดูสับสนไปหมด จนพรานเบย่องมาหลบมุมที่โคนต้นยอ ที่กะเหรี่ยงทั้งสองเหาะขึ้นไปเกาะอยู่บนคาคบ
ไป๊!
ไอ้ห่าพวกนี้นี่ เดี๋ยวก็โดนกัดตายห่า พรานเบตวาดลั่นแข่งกับเสียงเห่าที่ดังลั่นไปหมด ปากก็ร้องเรียกหมาสองตัวของแกไปพลาง หนักเข้าก็ต้องคว้าท่อนไม้ขว้างไล่ให้มันทั้งสองตัวห่างออกมาจึงจะได้ผล เมื่อไม่มีศัตรูมาขวางกันแล้ว ไอ้งูมัจจุราชก็ทำท่าว่าจะหันหัวมาเล่นงานมนุษย์แทน พรานเบรู้จังหวะและเหตุการณ์ที่จะเกิดขึ้นอยู่ก่อนแล้ว ผ้าขาวม้าที่ถูก ขยุมเป็นก้อนอยู่ในมือ ก็ถูกโยนไปตกตรงหน้าของอสรพิษทันที
ดวงตาแดงกร่ำของมัจจุราชไร้ตีน ที่จ้องจะแก้แค้นให้กับคู่ของมันอยู่ก่อนแล้ว เมื่อเห็นสิ่งมีชีวิตเข้ามาใกล้ อารามความตกใจและความแค้นที่หมายจะฆ่าสิ่งมีชีวิตทุกชนิดที่ขยับเขยื้อนและเคลื่อนไหว ซึ่งตัวมันเองก็ไม่รู้ว่าคืออะไร แต่ด้วยความอาฆาตพยาบาทมาบังตา เมื่อเห็นเหยื่อคมเขี้ยวของมันพลาดเข้ามาใกล้ โดยตัวมันเองหารู้ไม่ว่า สิ่งที่มันเห็นคือกลลวง
ทันทีที่หัวของมันฟาดตูมลงมาหมายที่จะฝังคมเขี้ยวอาบพิษของมันให้หายแค้น แต่สิ่งที่มันไม่คาดคิดก็เกิดขึ้น เหยื่อที่มันหมายจะฆ่า แทนที่สิ่งนั้นจะดิ้นทุรนทุรายก่อนจะขาดใจตาย เหมือนกับเหยื่อตัวอื่นๆของมันที่เคยฝากคมเขี้ยวไว้ แต่มันกลับนิ่งสนิทราวกับสิ่งไม่มีชีวิต ใช่แล้วสิ่งที่มันกำลังกอดรัดฟัดเหวี่ยงอยู่นี้ มันเป็นกลลวงที่ไร้ชีวิต คิดได้ก็สายไปเสียแล้ว เพราะอึดใจต่อมา เสียง ตูม สนั่นก็ดังขึ้น ไม่มีโอกาสที่มันจะแก้แค้นอีกแล้ว และไม่มีแม้กระทั่งชีวิตของมันเอง
เห่าดง
สงสัยมันคงทำรังไว้แถวๆนี้ พรานเบพูดพลาง ใช่ปลายกระบอกปืนเขี่ยไปที่ซากงูที่นอนหัวเละอยู่ตรงพื้น
ดูให้ดีน้าเบ ว่ามันตายหรือยัง สิงห์ร้องบอก ขณะวิ่งเข้ามาหาพรานเบ
หัวขาดขนาดนี้ ต่อให้เทวดาก็ไม่เหลือ พรานโส่ยร้องบอก
ไอ้เราก็คิดว่าเจอตัวนิ่ม เห็นไอ้พะเปรียววิ่งเข้าวิ่งออกแถวๆจอมปลวก
ที่ไหนได้ ยังไม่ทันจะเข้าไปดูใกล้ๆ ไอ้ดำนี้ก็พรวดเกือบถึงตัว เจ้าพุ่มพูดพลาง ไต่รูดมาตามลำต้นของต้นยอป่า
ข้าบอกแล้ว ว่าอย่าเพิ่งรีบร้อน ไม่โดนกันตายห่ าก็บุญโขแล้ว เคิ้งร้องลั่น หลังจากไต่ต้นไม้ตามลงมาสมทบ
ตัวเบ้อเร่อแบบนี้ โดนมันกัดทีเดียว เอ็งสองคนคงไปไม่ถึงมือหมอหรอก
อย่าว่าแต่จะโดนกันเลยน้าเบ แค่โดนเขี้ยวมันเฉียวๆ ก็ได้ขุดหลุมฝังไอ้สองคนนี้แล้ว สิงห์ร้องพลาง ใช้ไม้เขี่ยที่หัวงู อีกตัวที่ตายอยู่ก่อนหน้า ซึ่งตอนนี้นอนตายแยกเขี้ยวยาวโง้ง
สงสัยจังว่าทำไมมันดุขนาดนี้
จะไม่ให้มันดุได้ยังไง มาดูอะไรนี้พวกเรา ขาดคำของพรานแปะ ทั้งหมดก็เดินไปมุงดูบริเวณจอมปลวกนั้น พอพรานแปะใช้ปลายไม้เขี่ยใบไผ่ที่ปกคลุมปากรูหรือโพรงของจอมปลวกออก ภาพที่เห็นทำให้ทุกคนหายขอสงสัย ภายในที่เป็นโพรงลึกเข้าไป วัตถุทรงกลมลักษณะเหมือนก้อนแป้งขาวขุ่นเป็นย่นหลายสิบก้อนถูกวางเรียงชิดกันเป็นกระจุก ไม่ต้องบอกว่าสิ่งเหล่านั้นคืออะไร นอกเสียจากไข่ของอสรพิษ ทั้งสองนั่นเอง
ลาบปาก แบบนี้ต้องเอามาต้มกินให้หายแค้น เจ้าพุ่มพูดพลางทำท่าเหมือนจะก้มลงไปเก็บไข่งู แต่ก็ต้องชะงัก เพราะถูกสิงห์ดึงไหล่เอาไว้
ช่างมันเถอะ ปล่อยเขาไป พ่อกับแม่มันก็นอนตายอยู่นั้น สิงห์พูดพลางบุ้ยปากไปที่ซากงูทั้งสอง
ถึงจะฟักออกมาเป็นตัว ใช่ว่าจะรอดเสียทั้งหมด ออกมาสิบจะเหลือถึงสองตัวหรือเปล่าก็ไม่รู้
ไปต่อดีกว่าพวกเรา ดีแล้วที่ไม่มีใครเป็นอะไร เอ็งสองคนก็ดูอะไรให้ระวังๆหน่อย อย่าถือว่าเป็นลูกป่าแล้วจะไม่พลาด เคยได้ยินหรือเปล่า หมองูตายเพราะงู สิงห์หันไปบอกเตือนสองกะเหรี่ยงหนุ่ม ที่ทำหน้าหงอย ไม่รู้ว่าหงอยเพราะถูกตำหนิ หรือว่าหงอยเพราะอดกินไข่งูต้มก็ไม่รู้
เหตุการณ์เฉียดตายของกะเหรี่ยงหนุ่มทั้งสองผ่านไปโดยสงบ ไม่มีบุคคลใดได้รับอันตรายจากอสรพิษร้ายที่มีนามเรียกขานว่า เห่าดง ตรงกันข้ามเด็กหนุ่มทั้งสองกลับไม่ได้รับบาดเจ็บอะไรเลย นอกจากรอยถลอกตามเนื้อตามตัว ซึ่งมันเป็นผลมาจากจังหวะการไต่ปีนต้นไม้หรือไม่ก็ต้อนถูรูดลงมาตอนลง ผิดกับทางบุคคลทั้งหก ที่วิ่งผ่าดงไผ่มาเพื่อช่วยเหลือที่ได้เลือดกันทุกคน ด้วยพิษสงค์ของหนามไผ่ แถมเสื้อผ้าก็พลอยถูกหนามไผ่เกี่ยวจนขาด
เมื่อตรวจดูความเรียบร้อยของแต่ละคนดูแล้ว ไม่ได้บาดเจ็บอะไรมาก นอกจากถูกหนามไผ่เกี่ยว มีแต่เหน๋อเพียงคนเดียวที่ซวยกว่าเขาเพื่อน เพราะโดนหนามไผ่เกี่ยวบริเวณหัวไหล่และขาอ่อน ถึงบาดแผลจะไม่ลึกมากนัก แต่ก็หนักกว่าคนอื่น สิงห์เพื่อนเกลอจึงต้องบังคับใส่ยาและติดผ้าพันแผลให้เสียอย่างดี แต่กว่าจะทำสำเร็จก็ต้องออกแรงปล้ำกันยกใหญ่ เพราะเจ้าตัวดิ้นไปมาไม่อยู่นิ่ง
อู๊ยย..!
เบาๆ เว้ย! แสบฉิบหา ย เหน๋อร้องครางทำหน้าน่าสงสาร ร้องพลางก็เป่าแผลไปพลาง เพราะถูกทิงเจอร์และแอลกอฮอล์ล้างแผล
อย่าดิ้นสิวะ
เพรี๊ยะ!
นี้แหนะ ไอ้ห่ า! ทำเป็นเด็กไปได้ จะเสร็จแล้ว แผลนิดเดียวทำเป็นใจเสาะ สิงห์ตวาดเพื่อนเกลอ หลังจากตบกบาลปลอบขวัญไปหนึ่งฉาด เล่นเอาทั้งคณะหัวเราะไปตามๆกันยกเว้นเหน๋อคนเดียวที่บ่นอุบอิบ พลางลูบหัวตัวเองแกรกๆ
ขบวนท่องไพรเคลื่อนตัวอีกครั้ง แต่ครั้งนี้ไม่เหมือนที่ผ่านๆมา เพราะทั้งหมดเริ่มเดินสู่เนินชันขึ้นเป็นระยะ ลัดเลาะปีนขึ้นสันเขาทีละน้อยๆ แต่การเดินทางไม่ได้วิบากอะไรมากนัก เพราะเส้นทางที่พรานนำทางพาตัดออกไปไม่ค่อยรกนัก นานๆครั้งถึงจะได้เดินฝ่าดงไม้จำพวกเฟิร์นที่สูงท่วมเอว หรือบางต้นก็สูงเลยหัว ผิดกับป่าเบื้องล่าง ซึ่งจะอุดมไปด้วยต้นกระวานที่ขึ้นกันอยู่หนาทึบไปหมด อาจเป็นไปได้ว่า บริเวณนี้ความชื้นมีน้อยกว่าในหุบ กว่าจะเดินฝ่าดงเฟิร์นออกมาได้ก็ทุลักทุเลพอสมควร
อากาศที่เย็นสบายเมื่อตอนเช้าตรู่ กลับกลายมาเป็นร้อนระอุขึ้นทุกขณะ ไม่มีเสียงพูดคุยของชายทั้งแปดให้ได้ยิน มีเพียงเสียงฝีเท้าที่เดินย่ำใบไม้แห้งดังกรอบแกรบ และเสียงหอบของใครบางคนในคณะ เรี่ยวแรงที่มีอยู่เต็มเปี่ยมเมื่อตอนเช้า เริ่มลดน้อยลง ราวกับแบตเตอร์รี่ ที่กำลังจะหมดไฟ ลำพังถ้าได้เดินในหุบเบื้องล่างก็คงไม่เท่าไหร่
เพราะอากาศชื้นและเย็นสบายทำให้ไม่เปลืองแรง แต่นี่ต้องมาเดินหัวแดงกันบนสันเขาแถมแดดก็ร้อนเปรี้ยงขนาดนี้ อย่าว่าแต่คนเลยที่เหนื่อยจนหอบ หมาที่ตามมาด้วยยังต้องเดินจนลิ้นห้อย บ่อยครั้งที่พรานมือใหม่อย่างสิงห์ต้องยกน้ำในกระติกขึ้นดื่มดับกระหาย เพราะทนคอแห้งจนน้ำลายเหนียวต่อไปไม่ไหว ผิดกับพรานกะเหรี่ยงทั้งหลาย ซึ่งนานๆครั้งจะยกน้ำขึ้นดื่มให้เห็นเสียทีหนึ่ง จนพรานเบพาเดินมาพบกับน้ำตกเล็กๆระหว่างซอกหินตอนหนึ่ง
ดูแล้วไม่น่าจะใช่น้ำตก เป็นเพียงน้ำที่ไหลซึมออกมาจากรากไม้และซอกหินเสียมากกว่า แต่ก็พอจะใช้สอยได้บ้าง เพราะเบื้องล่างมีแผ่นหินลักษณะเป็นแอ่งเล็กๆ คอยรองรับสายน้ำที่มีอยู่น้อยนิด ถึงจะมีปริมาณไม่มากนัก แค่วักน้ำในแอ่งนั้นมาล้างหน้าครั้งเดียวก็หมดแล้ว แต่สำหรับสถานที่แบบนี้ แค่นี้ก็เกินพอ พรานเบจึงสั่งให้ทั้งหมดหยุดพัก
เดี๋ยวพักเอาแรงเสียหน่อย
ไหวหรือเปล่าสิงห์ พรานเบหันมาร้องถามพรานสมัครเล่น ที่ตอนนี้เดินลากขาอยู่ท้ายขบวน
ยังไหวอยู่น้าเบ สบายมาก ว่าแต่ใกล้ถึงแล้วหรือยัง สิงห์ร้องถาม
โอย…ยังไม่ถึงครึ่งทางเลยไอ้สิงห์
ข้าว่า พวกเรากว่าจะไปถึงที่นั้นก็คงจะเย็นพอดี พรานโส่ยร้องตอบ แทนพรานนำทาง
นี่ก็เที่ยงกว่าแล้ว เอาไงดีพวกเรา
จะพักกินข้าวกินปลากันก่อนหรือเปล่า หรือว่าจะเดินต่ออีกหน่อย สิงห์ร้อบบอก หลังจากยกนาฬิกาขึ้นดูเวลา ซึ่งตอนนี้เวลาบอกที่ 12.45 น.
ไปหาที่พักกินข้าวข้างหน้าดีกว่า แถวนี้น้ำท่ามีน้อย พรานเบตอบ พูดจบก็งัดซองยาเส้นออกมานั่งมวน
มันจะมีน้ำให้ใช้หรือน้าเบ แถวนี้น่าจะหาน้ำยากอยู่ ชายหนุ่มกล่าวออกมาแบบหวั่นๆ
ก็พอมีอยู่ เดี๋ยวข้าจะพาเดินลงหุบข้างหน้า ที่เอ็งเห็นเป็นพุ่มเขียวๆอยู่นั่น พรานนำทางบอก พลางชี้มือไปยังตำแหน่งของจุดหมายที่จะพาคณะไปพัก
แถวนั้นมันมีน้ำตกเล็กๆอยู่สายหนึ่ง มีน้ำกินน้ำใช้ได้สบาย
แต่เลยจากตรงนั้นไป ก็คงไม่มีแล้ว อย่างเก่งก็คงแบบที่ข้าพาเอ็งมาหยุดพักตรงนี้
ตรงหุบนั้นล่ะ ที่พวกเราต้องช่วยกันแบกน้ำขึ้นไปบนเขา พรานเบพูดจบ ก็ยกบุหรี่ยาเส้นขึ้นสูบจนควันโขมง รวมถึงพรานกะเหรี่ยงคนอื่นๆ บางคนก็นั่งเคี้ยวหมากหยับๆ บ้างก็ใช้ใบไม้ทำเป็นกรวยผลัดกันตักน้ำในแอ่งมาดื่มกิน น้ำในแอ่งหินใสแจ๋ว ถูกตักขึ้นมาไม่กี่ทีก็หมด แต่พอนั่งรออึดใจใหญ่ น้ำที่ไหลซึมมาตามซอกหินและรากไม้ก็ค่อยๆไหลรินลงบนแอ่งหินจนเต็ม นอกจากเหล่าพรานกะเหรี่ยงทั้งหลายจะได้ดื่มน้ำในแอ่งหินนั้นแล้ว
หมาสองตัวที่ติดตามมาด้วยก็ได้ดื่มกิน แต่พรานเบกันไม่ให้พวกมันมาดื่มในแอ่งรวมกับคน ตรงกันข้ามพรานนำทางกลับเลือกบริเวณที่เป็นพื้นกรวดทราย ซึ่งต่ำลงมาจากแอ่งหินนั้น จากนั้นก็ใช้มีดเหน็บ ค่อยๆขุดเป็นบ่อหรือแอ่งเล็กๆ พรานเบขุดได้ไม่นานก็มีน้ำไหลซึมออกมา เพียงไม่นานก็มีน้ำขังอยู่ในแอ่ง พอที่หมาสองตัวของแกจะใช้ดื่มกินดับกระหาย
ลมพัดผ่านมาตามช่องเขาอีกวูบ ทำให้ต้นไม้ที่ยืนนิ่งสนิทอยู่นานไหวเอน เสียงใบไม้ไหวตามแรงลมดังซู่ซา เคล้ากับเสียง ออดแอด ของต้นไผ่เบื้องล่างที่โยกไหวไปมา นานๆครั้งก็ได้ยินเสียงดัง โผล๊ะ ของกระบอกไม้ไผ่ ที่ระเบิดออกมา เนื่องจากต้านทางแรงดันในลำกระบอกต่อไปไม่ไหว ยิ่งอากาศแห้งและร้อนแบบนี้จึงเกิดขึ้นบ่อยครั้ง ซึ่งเรื่องนี้สามารถทดสอบและทดลองทางวิทยาศาสตร์เพื่อหาคำตอบได้ สำหรับสิงห์ก็เข้าใจได้ไม่ยาก แต่สำหรับพรานกะเหรี่ยงคำตอบที่ได้คือ ลิงจุดปะทัดเล่น
หลังจากหยุดพักจนเรี่ยวแรงฟื้นกลับมา พรานนำทางก็พาขบวนเคลื่อนตัวอีกครั้ง เนินแล้วเนินเล่า ที่พรานชำนาญไพรพาคณะเดินฝ่าออกไปอย่างบุกบั่น ถึงจะเหนื่อยหนักสักแค่ไหน ทุกคนก็มีใจรักที่จะฟันฝ่า แม้ว่าสภาพพื้นที่จะ ทุลักทุเล และกันดานขนาดไหน ทุกคนก็กัดฟันฝ่าออกไปจนได้
ตะวันบ่ายฉายแสงร้อนเปรี้ยงบนด่านทางเดิน ก่อให้เห็นเป็นพรายน้ำกลายเป็นภาพลวงตา คล้ายมีแอ่งน้ำอยู่เบื้องหน้า แต่ครั้นเมื่อเดินเข้าไปใกล้แอ่งน้ำที่ว่าก็พลอยหายไปอย่างน่าประหลาด แสงแดดร้อนระอุแผดเผาเส้นทางจนไม้เล็กไม้น้อยแห้งกรอบ ถึงแม้ว่าจะผ่านช่วงฤดูฝนมาไม่นาน หมู่หินที่งอกพ้นพื้นดินออกมา
เมื่อโดนแดดเผามาทั้งวันก็ร้อนจนถูกไม่ได้ รองเท้าผ้าใบของสิงห์ที่ว่าแน่ยังร้อนระบมไปหมด นับประสาอะไรกับรองเท้าแตะของเหล่าพรานกะเหรี่ยงหรือจะเอาอยู่ ยิ่งตอนเดินแล้วมีเศษก้อนกรวดหรือหินดีดเข้าไปในรองเท้า ยิ่งทวีความทรมานอย่าบอกใคร แต่ก็ดีตรงที่ไม่มีเศษก้อนหินเข้าไปในรองเท้าให้ต้องเดินลำบากเหมือนรองเท้าผ้าใบ ที่เวลามันเข้าไปแล้วไม่ได้กระเด็นกลับออกไป แต่ตรงกันข้ามคือเข้าแล้วเข้าเลย บ่อยครั้ง ที่ชายหนุ่มต้องหยุดถอดรองเท้าออกมาเคอะเศษหินและกรวดเล็กๆนั้นออก
เส้นทางลาดต่ำลงทุกขณะ จนรู้สึกชันขึ้นเรื่อยๆ เพราะพรานนำทางพาเดินตัดลงหุบเขา เส้นทางที่สูงชันพาให้เดินไต่กันอย่างลำบาก โชคดีที่ยังมีเถาวัลย์และต้นไม้ ที่พอใช้เหนี่ยวรั้ง ร่างกายลงไปได้ แต่ก็ต้องคอยระวังต้นไม้ที่จะไปจับ เพราะต้นไม้ในป่ามีหลายหลายชนิด และหลายชนิดก็มีพิษ หรือถ้าไม่มีพิษก็มีหนาม รวมไปจนถึงสัตว์และแมลงมีพิษนานาชนิดที่อาจจะอาศัยหรือเกาะอยู่ตามต้นไม้เหล่านั้น กว่าพรานเบจะพามาถึงจุดพักก็เล่นเหนื่อยไปหลายหอบ
บริเวณหุบระหว่างช่องเขา ซึ่งเกิดจากน้ำที่ไหลกัดเซาะเป็นเวลานาน เมื่อช่วงเข้าฤดูน้ำหลากหุบแห่งนี้ หรือช่องโตรกนี้คงมีน้ำมากมายเป็นน้ำตกขนาดใหญ่ แต่เมื่อหมดฤดูกาลสายน้ำที่คิดจินตนาการว่ามากมาย ก็กลับกลายมาเป็นสายน้ำเล็กๆราวกับน้ำที่ไหลจากก๊อกประปา โชคยังดีที่สายน้ำนั้นยังไหลรินอยู่ เสียงน้ำที่ไหลรินอันน้อยนิดดัง จ๊อกแจ๊ก ราวกับเสียงกระซิบของพงไพรที่พากันซุบซิบนินทา จากการมาเยือนของมนุษย์
ค่อยยังชั่ว เดินข้างบนร้อนจนตีนผมระบมไปหมด
ถ้ามาช้ากว่านี้สักเดือน แถวนี้คงไม่มีน้ำแน่ๆ สิงห์ร้องบอก หลังจากปลดเป้หลังออกมาวางบนก้อนหินใหญ่ก้อนหนึ่ง ซึ่งตอนนี้มีตะไคร่น้ำเกาะเขียวไปหมด
ต่อให้แล้งกว่านี้ก็มี
ถึงจะมีไม่มากแบบนี้ แต่ข้ารับประกันว่าห้วยนี้ไม่เคยแห้ง พรานเบร้องตอบ พูดจบก็ถอดผ้าขาวม้าออกมาเช็ดเหงื่อ
พักหุงข้าวหุงปลากินกันก่อนตรงนี้ล่ะ
ตาโส่ย แกเตรียมหม้อข้าวแล้วกัน เดี๋ยวข้าก่อไฟเอง พรานพรร้องบอก พูดจบก็เดินไปหาฟืนแห้งมาก่อไฟ
จะกินอะไรกันดีล่ะ จะได้เตรียมทำ พรานโส่ยร้องถาม ขณะรื้อสิ่งของและเสบียงในถุงปุ๋ย
ไม่ต้องอะไรมากหรอกลุง ง่ายๆ จะได้รีบกินรีบไป ยังเดินไม่ถึงเขาสกไม่ใช่รึ
ไก่ย่าง เนื้อเก้ง ปลา กบ เอามาสักอย่างสองอย่างก็พอ น้ำพริกก็ยังมี สิงห์ร้องตอบ
เอาไก่กับกบย่างมากินกับน้ำพริกก่อนดีกว่า เดี๋ยวมันจะเสีย อากาศร้อนแบบนี้บูดง่าย เหน๋อเสนอความคิด พูดจบก็งัดไก่ป่าย่างและกบย่างออกมาจากย่าม ไก่ป่าที่ย่างไว้จนเหลืองน่ากินเมื่อตอนเช้า เมื่อถูกห่อแล้วถูกยัดจนแน่นในย่าม แถมยังต้องเดินไต่เขา ไม่รู้ว่ากระทบกระแทกอะไรต่ออะไรมา สภาพในตอนนี้จึงดูไม่จืด แต่เมื่อ ยกดมดูแล้วไม่มีกลิ่นที่แสดงว่าเน่าเสียก็แปลว่ายังใช้ได้ แค่เอามาอุ่นย่างกับไฟอ่อนๆก็อร่อยเหมือนเดิม ผิดกับกบย่างทั้งสองตัว ที่เละเทะไม่เหลือเค้าเดิมแถมยังมีกลิ่นตุๆอีกต่างหากแต่ก็ยังกินได้อยู่ แค่เอาไปอุ่นย่างอีกครั้งก็กินจนหมดไม่เหลือเช่นเดิม
ส่วนคนอื่นที่เหลือก็กระจัดกระจายกันนั่งพัก บางคนก็หักกิ่งไม้มาปัดกวาดสถานที่ พุ่มกับเคิ้งช่วยกันขึงปูผ้าใบ พรานแปะออกไปรินน้ำเตรียมหุงข้าวช่วยพรานโส่ย พรานพรหลังจากได้ฟืนแห้งมากองใหญ่ ก็ก่อไฟจนควันโขมงไปหมดช่วยไล่เหล่าแมลงต่างๆที่มาตอมดูดกินเหงื่อได้ดีนัก พรานเบออกไปตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่มีใครรู้ แต่แกกลับมาพร้อมหน่อไม้รวกหลายสิบหน่อ แต่ละหน่อยาวร่วมศอก แถมยังมีเห็ดรวกและเห็ดขอนที่ชอบขึ้นตามกอรวกและตอไม้แห้ง ซึ่งได้มาอีกเกือบครึ่งย่าม เห็ดรวกหน้าตาเหมือนเห็ดนางฟ้าสีขาวสะอาดตา ดูน่ากิน
เปลวไฟลุกโหมในกองฟืน ส่งควันโพยพุ่งขึ้นไปบนท้องฟ้า ที่มียอดไม้ใหญ่ปกคลุมเป็นร่มครึ้ม หม้อสนามสามใบถูกขึ้นแขวนเหนือเปลวไฟอีกครั้ง พร้อมๆกับหน่อไม้รวกหลายสิบหน่อที่ถูกพรานเบโยนเข้าไปเผาในกองไฟทั้งเปลือก เพียงไม่นานก็ได้กลิ่นหอมของหน่อไม้รวกเผาโชยไปทั่ว หน่อไม้รวกเผายังไม่ทันจะสุก หมกเห็ดรวกและเห็ดขอนที่ถูกเคล้าพริกและเกลือบางๆ ก็ถูกขึ้นย่างอีกห่อใหญ่ทำให้กระตุ้นน้ำย่อยดีพิลึก