ต้นตะเคียนยักษ์ต้นนั้นเอง มันเป็นไปได้อย่างไร จะว่าตาฝาดก็ไม่น่าเป็นไปได้ เพราะแสงไฟจากกองฟืนที่ถูกจุดสุมอยู่นั่น ก็ส่องสว่างพอที่จะเห็นรายละเอียดต่างๆได้ชัดเจน และถ้าเขาจำไม่ผิด ตะเคียนยักษ์ต้นนี้ มันก็เป็นต้นเดียวกันกับต้นที่เขาและพรานเฒ่าเคยมาดักลอบไว้ และบริเวณนี้เอง ที่หล่อนคนนั้นมาปรากฏตัว และเข้ามาสนทนาด้วย
สติที่พอจะหลงเหลืออยู่บ้าง สั่งให้เขาร้องเรียกพรานเบออกไปสุดเสียง แต่ดูเหมือนว่ามันปราศจากความหมายใดๆ เพราะตอนนี้พรานเบได้อันตรธานไปไหนแล้วก็ไม่รู้ รวมทั้งสิ่งของต่างๆก็พลอยล่องหนไปด้วย เวลานี้ มีเขาเพียงลำพัง ปืนผาหน้าไม้หรืออาวุธอะไรก็ไม่มีติดตัวอยู่เลย แม้แต่ถุงนอนที่ใช้ห่มก็หายสาบสูญ ที่มีติดตัวเขาอยู่บ้างก็เห็นจะมีเสื้อแจ็คเก็ต ที่ยังสวมใส่อยู่เป็นปกติดี
ท่านอย่าได้ตกใจ หรืออย่าได้เป็นกังวลอะไรเลยเสียงหวานใสดังแว่วมาให้ได้ยิน พร้อมๆกับเสียงย่ำกรวดหินดังกรอบแกรบ ภายในเงามืดหลังต้นตะเคียนยักษ์
ค..คุณ..! อีกแล้วหรือสิงห์ร้องถามออกไปด้วยเสียงตะกุกตะกัก พร้อมกับอาการสะดุ้ง
ใช่คุณพลับพลึงหรือเปล่า
แทนคำตอบ ท่ามกลางความมืดมิดหลังต้นตะเคียนยักษ์ ร่างของสตรีนางหนึ่ง ก็ค่อยๆปรากฏกายขึ้น หล่อนเดินทอดกายอย่างเชื่องช้า พร้อมๆกับรอยยิ้ม ก่อนที่จะมายืนเด่นตรงหน้าของชายหนุ่ม ซึ่งตอนนี้ระบบประสาทของเขาชาไปหมดทั้งตัว
เราดีใจ ที่ท่านยังจดจำนามของเราได้หญิงสาวที่มีนามว่า พลับพลึง ตอบขึ้นอย่างพอใจ พร้อมรอยยิ้ม
แล้วนี่ ผมมาอยู่ที่ตรงนี้ได้ยังไงชายหนุ่มถามออกไป ซึ่งตอนนี้ก็บอกตัวเองไม่ถูกว่ามันเกิดเรื่องบ้าบออะไรขึ้นอีกกับตัวเขา
ก็ท่านเองมิใช่ฤา ที่เป็นคนระลึกถึงเรา?หล่อนยืนกอดอก ก่อนที่จะยื่นหน้าลงมาถามชายหนุ่ม ที่ตอนนี้ยังนั่งตัวแข็งทื่ออยู่กับพื้น
ผมนี่นะ ที่คิดถึงคุณ?
ท่านจงตรองให้ดีเถิด บนห้างกลางป่านั่นหล่อนช่วยฟื้นความทรงจำให้
สิงห์หลังจากอึ้งอยู่นาน ก็ทำหน้าขมวดคิ้วคิด แล้วบางอย่างก็ทำให้เขาพอจะนึกอะไรขึ้นมาได้ กลิ่นหอมจางๆ ที่ลอยคละเคล้ามาตามกระแสลมนี้เอง ซึ่งเหมือนจะเป็นตัวจุดประกาย ในการไขข้อปริศนาที่ว่า เพราะเหตุใดจึงนำพาตัวเขา มาพบกับหล่อนอีกครั้ง
หล่อนคนที่ตัวเขาเองก็ไม่รู้ว่า เป็นคนหรือผี และเรื่องที่เกิดขึ้นนี้มันเป็นความจริง หรือเป็นเพียงความฝันกันแน่ ก็เพราะเมื่อก่อนที่ตัวเองจะเอนหลังนอนบนห้างนั้น ตัวเขาเองไม่ใช่หรือ ที่หยิบดอกช้างกระแห้งดอกนั้นขึ้นมาดม และก็คงจะปฏิเสธหรือโกหกตัวเองไม่ได้ว่า ในระหว่างที่กำลังดมดอกกล้วยไม้ป่าดอกนั้น ในเสี้ยววินาที ที่ได้กลิ่นนี้ ทำให้เขาคิดถึงหล่อนขึ้นมาทันที
ท่านพอจะคิดออกหรือยังหล่อนกล่าวออกมาด้วยน้ำเสียงเรียบๆ
ท่านจงอย่าเกรงกลัวเราเลย เราไม่คิดที่จะทำอันตรายใดๆกับท่านดอก
ตรงกันข้าม ในระหว่างที่ท่านกับเราได้พบกัน จะไม่มีภยันตรายใดๆ แม้แต่เหลือบไร ก็จะไม่มากล้ำกลายท่านเลยกล่าวจบ หญิงสาวก็ค่อยๆหย่อนกายลงนั่งพับเพียบ ซึ่งตอนนี้มีเพียงกองไฟกองเล็กๆ กั้นกลางระหว่างเขาและหล่อน
ท่ามกลางแสงสลัวของเปลวไฟที่ไหวโยกไปมา ร่างของหญิงสาวที่ดูผุดผ่อง ซึ่งตอนนี้ถูกอาบด้วยแสงไฟสีเหลืองนวล จมูก ปาก และดวงตาคมเข้ม ถูกประดับไว้บนใบหน้ารูปไข่อย่างสวยงาม รับเข้ากับเส้นผมที่ดูดำขลับเป็นมัน ยาวสลวยราวกับเส้นไหม
แต่ตอนนี้มันดูตัดกับช่อช้างกระ ที่ถูกแซมทัดไว้เหนือหูข้างซ้าย ผิวกายที่นวลเนียนเข้ากับร่างกายที่ดูบอบบาง อ้อนแอ้น สไบสีเขียวอ่อนผืนเดิม ถูกห้อยคล้องปกปิดสองปทุมถันของหล่อนไว้อย่างหละหลวม แต่ในระยะใกล้เพียงแค่นี้ สไบบางๆผืนนั้น ก็ไม่สามารถปกปิดยอดประทุมถันทั้งสองของหล่อนไว้ได้เลย ชายหนุ่มซึ่งตอนนี้เห็นโดยไม่ได้ตั้งใจ รีบบ่ายสายตาไปทางอื่น
ความกลัวและวิตกของชายหนุ่ม เริ่มผ่อนคลายลงไปมาก จากท่าที ที่เป็นมิตรของหล่อน ซึ่งมันก็แสดงให้เข้าเห็นตั้งแต่ครั้งแรกที่ได้พบกันเมื่อคืนก่อน หล่อนก็ไม่ได้มีทีท่าว่าจะทำร้าย หรือกระทำการณ์ใดๆที่จะเป็นการให้เกิดอันตรายกับเขาเลยแม้แต่น้อย ทำให้ชายหนุ่มรู้สึกปรอดโปร่งใจขึ้นมาก
ผมคงกำลังหลับฝันไปชายหนุ่มเอ่ยขึ้นมาลอยๆ
ท่านแน่ใจฤา ว่านี้เป็นเพียงแค่นิมิตของท่านเอง
ก็คงเพราะในโลกของความเป็นจริง ที่ไม่ใช่ความฝันแบบนี้ คงไม่มีผู้หญิงคนไหน จะใจกล้ามาอยู่ป่าอยู่ดงแบบนี้ตามลำพังหรอก
อาจจะเป็นเยี่ยงนั้นก็ได้หญิงสาวเสวนาตอบ
เรื่องนี้มันแปลกประหลาดมากสำหรับผม แต่ก็เอาเถอะครับ ไม่ว่ามันจะเป็นความจริง ที่ผมเองก็ไม่แน่ใจนัก หรือว่าความฝันก็ตามทีสิงห์เว้นวรรค
คุณเองก็มาอย่างมิตรไมตรี ผมเองก็ไม่คิดที่จะทำร้ายคุณ หวังว่าเราคงเป็นเพื่อนกันได้นะครับ
ท่านรู้ได้เยี่ยงไร ว่าเราต้องการเป็นมิตรกับท่านหญิงสาวที่มีนามว่า พลับพลึง เลิกคิ้วถามพร้อมรอยยิ้ม
ถ้าไม่มาอย่างมิตร ผมคงถูกทำร้าย หรือไม่ก็อาจจะพบเจอกับสิ่งที่น่ากลัวกว่านี้สิงห์ตอบ
ไม่ว่ามันจะเป็นเรื่องจริง หรือเป็นเพียงแค่ความฝัน ผมก็มีความยินดีเป็นอย่างยิ่ง ที่ได้รู้จักคุณพลับพลึงประโยคหลังสิงห์เอ่ยนามของหล่อน
เราก็มีความยินดีเช่นกัน ที่ได้รู้จักและเป็นมิตรกับท่านสิงห์ประโยคหลังหล่อนก็เอ่ยนามเขาชัดเจนเช่นกัน
คุณอยู่คนเดียวแบบนี้ คุณคงจะเหงาและว้าเหว่น่าดูนะครับชายหนุ่มถามไปจากใจจริง
เราอยู่ตามลำพังมาจนชินชาแล้วหล่อนกล่าว แต่แอบมีแววตาเศร้าหมอง
เพราะเหตุนี้ คุณจึงเลือกผม
หามิได้ เรามิได้เป็นผู้เลือกท่าน อย่างที่เราเคยบอกท่านไปแล้วว่า ดวงจิตของเรากับดวงจิตของท่าน บังเอิญสื่อถึงกันได้หล่อนอธิบาย
แล้วทำไม เมื่อครั้งที่ผมเคยมาท่องเที่ยวครั้งก่อนๆ ไม่เห็นเกิดเรื่องแบบนี้กับผมเลยชายหนุ่มกล่าวด้วยความสงสัย เพราะหลายต่อหลายครั้ง ที่เขาและคณะพราน ก็เคยออกท่องเที่ยวป่าผืนนี้อยู่บ่อยครั้ง แต่ก็เป็นครั้งแรกที่ตัวเขาเองได้ผ่านมาทางนี้ แต่ถึงอย่างไร ป่าบริเวณนี้กับบริเวณอื่น มันก็เป็นป่าผืนเดียวกัน
เราก็ตอบท่านมิได้เช่นกัน เพราะเหตุใด ณ เวลานั้น เรากับท่านจึงติดต่อกันเช่นนี้มิได้หญิงสาวตอบ พูดจบหล่อนก็ลุกขึ้นยืน
ผืนป่าที่กว้างใหญ่ไพศาลแห่งนี้ นับวันมันก็ลดน้อยลงไปทุกขณะ เราเองก็ถูกมนุษย์เหมือนท่าน รบกวนอยู่บ่อยครั้ง จนเราต้องถอยร่นเข้ามาอาศัยอยู่ในป่าแห่งนี้หญิงสาวพูดจบ ก็จ้องมองฝ่าความมืดออกไปอย่างปราศจากความหมาย
มนุษย์แบบผม? เขาไปทำร้ายหรือรบกวนอะไรคุณครับชายหนุ่มร้องถาม ขณะยังจ้องมองหล่อนตาไม่กระพริบ
ก็มนุษย์ผู้โหดร้าย ผู้ที่หักล้างเผ่าพันธุ์ของเราจนดับสูญคำพูดของหล่อนเศร้า ไม่แพ้ใบหน้าของหล่อนในตอนนี้
เผ่าพันธุ์! นั้นแสดงว่าก็ไม่ได้มีคุณเพียงคนเดียวเหมือนที่คุณบอกผมสิสิงห์หันไปถาม
ใช่
แต่มันก็นานมาแล้ว นานเสียจนเราเองก็มิอยากระลึกถึงความโหดร้ายและโหดเ หี้ยมเยี่ยงนั้นอีก
เล่าให้ผมฟังได้หรือเปล่าครับ
ได้สิ ถ้าท่านต้องการฟัง ถึงเรื่องราวที่โหดร้าย ที่มนุษย์แบบท่านได้กระทำกับพวกเราไว้ หญิงสาวกล่าวออกมา ขณะยังยืนเหม่อลอยอยู่เช่นนั้น แต่ในความมืดมิดเช่นนี้ บนใบหน้าของหล่อนปรากฏหยาดน้ำตา ซึ่งสิงห์เองที่เฝ้ามองอยู่ ถึงกับลุกขึ้นเพราะความตกใจ เนื่องจากคาดไม่ถึงว่าหล่อนจะร้องไห้ออกมาให้เขาเห็น
คุณ! คุณร้องไห้?สิงห์พูดออกมาแผ่วเบา เหมือนผู้ถูกถามจะได้ยิน หล่อนค่อยๆใช้มือ ปราดคราบน้ำตาบนใบหน้าของหล่อน แต่ก็ยังหันหลังให้เขาอยู่เช่นนั้น เหมือนหล่อนจะพยายามกร่ำกลืนความขมขื่น ที่ทุกข์ทรมานอยู่ในใจมาเนินนาน
เมื่อหลายร้อยขวบปีก่อน ซึ่งขณะนั้น เรายังเยาว์วัยอยู่มาก
เราเองก็มีบิดา มารดา อย่างมนุษย์แบบท่าน เรามีบ้านเรือน มีแหล่งพักพิงอาศัย ซึ่งเป็นนครใหญ่ แต่บ้านเมืองของเรา แตกต่างจากบ้านเรือนของท่าน
หมู่บ้านของคุณ..ชายหนุ่มหยุดอยู่แค่นั้น
นครของเรามีนามว่า วังตะเคียน เป็นนครเมืองใหญ่ มีเด็ก สตรี บุรุษ และผู้ชราภาพ ก็คงจะเหมือนกับบ้านเมืองของท่านในยุคปัจจุบันนี้
ที่เราบอกว่า บ้านเมืองของเรา แตกต่างจากของท่านก็เพราะ เรามิได้สร้างบ้านเรือนอย่างที่พวกท่านสร้างสรรค์มันขึ้นมา แต่เรือนของเราคือ เหล่าต้นตะเคียนใหญ่เช่นนี้ หญิงสาวพูดจบก็หันมามองต้นตะเคียนยักษ์ ที่ยืนต้นทะมึนอยู่ในเงาสลัวๆ ก่อนที่หล่อนจะเดินเข้าไปใช้มือลูบบริเวณลำต้นของตะเคียนยักษ์ จนคนที่กำลังยืนมองอยู่ ถึงกับอ้าปากค้าง
เราอยู่กันอย่างสงบสุข โดยไม่เคยรุกราน สร้างความเดือดร้อน หรือสร้างความทุกข์ใจให้กับสิ่งใดบนผืนแผ่นดินนี้เลย นับจากมีเผ่าพันธุ์ของเราถือกำเนิด
พวกเราอยู่กันอย่างสงบสุข มิเคยทำร้าย หรือเข่นฆ่าสิ่งมีชีวิต พวกเรามิได้เสพเนื้อหนัง เยี่ยงมนุษย์อย่างพวกท่าน
แต่มันก็สงบอยู่ได้มินานหญิงสาวกล่าวออกมาด้วยแววตาที่เศร้าโศก
หลายขวบปีหลังจากนั้น ก็มีมนุษย์เข้ามาสร้างภูเขาหินขนาดใหญ่ เข้ามากั้นขวางลำน้ำบริเวณสถานที่ของพวกเรา
คุณคงหมายถึงเขื่อนชายหนุ่มพูดออกมาด้วยเสียงอันแผ่วเบา
เรามิอาจรู้นามที่พวกท่านเรียกขาน ในสิ่งที่พวกท่านสร้างมันขึ้นมาว่าอย่างไร แต่สิ่งนั้นมันทำลายล้างพวกเราให้ย่อยยับดับสูญ
ญาติมิตรของเราต้องมีอันดับสลายพร้อมกับเหล่าตะเคียนยักษ์ ที่พวกเราอาศัยอยู่ ภายใต้เงาน้ำลึกหลังภูเขาหินลูกนั้น
บิดา มารดา ของเราได้สรญาณสมาธิ ที่ท่านทั้งสองบำเพ็ญเพียรมาเป็นเวลานาน เพียงเพื่อส่งดวงจิตของเราให้หนีพ้นออกมาจากบริเวณนั้น
ไม่มีใครรอดเลยหรือครับชายหนุ่มกล่าวออกมาด้วยความสงสาร
มีเพียงเราผู้เดียว หลังจากกระเสือกกระสน เอาดวงจิตรอดออกมาได้ โดยการชี้นำของดวงจิตของบิดา มารดาเรา เราก็มาอยู่ ณ สถานที่แห่งนี้แล้ว
หลังจากนั้น เราก็พยายามตามหามิตรสหาย ของเราที่อาจจะรอดจากเหตุการณ์ในครั้งนั้น
แล้ว…
ชายหนุ่มพูดค้างไว้เช่นนั้น
ปีแล้วปีเล่า เราก็มิพานพบผู้ใดอีกเลย
คงมีแต่เราเพียงผู้เดียว ที่ต้องอยู่อย่างโดดเดี่ยวเช่นนี้ หล่อนกล่าวจบ ก็มีอาการทรุดกายลงกับพื้น ด้วยความตกใจ ชายหนุ่มที่ยืนฟังอยู่ไม่ห่างมากนัก รีบกระโจนเข้าไปประคองกายหล่อนด้วยความเป็นห่วง และเหตุการณ์ฉุกละหุกนี้เอง ที่ชายหนุ่มได้สัมผัสกับร่างกายของหล่อนเป็นครั้งแรก
ดังปุยนุ่น ที่ถูกอาบตามร่างกายของหล่อน แทนที่จะเป็นเนื้อหนังเช่นเขา ความนุ่มนิ่มและบอบบาง ผิวกายที่เห็นในระยะใกล้ชิดเช่นนี้ นวลเนียนไร้ที่ติ แต่ในเมื่อเขายังเข้าใจอยู่ว่า สิ่งที่เกิดขึ้นนี้เป็นเพียงความฝันที่ตัวเขาเองนั้นล่ะ ที่จินตนาการขึ้นเอง ถ้าเป็นเช่นนี้แล้วทำไม เขาถึงมีความรู้สึกว่าเหมือนได้สัมผัสกับกายมนุษย์ แทนที่จะไขว่คว้าเพียงแค่ธาตุอากาศ
ชายหนุ่มค่อยๆโอบประคองไหล่ทั้งสองข้างของหล่อน ซึ่งการกระทำครั้งนี้ ไม่ได้มีจุดประสงค์ที่จะทำการล่วงเกินสตรีผู้นี้แต่อย่างใด แต่มันเป็นการปลอบประโลมหล่อนเสียมากกว่า ซึ่งหญิงสาวก็เหมือนว่าเพิ่งจะรู้สึกตัว ว่าตอนนี้ชายหนุ่มได้ถูกเนื้อต้องตัวหล่อนเข้าเสียแล้ว
คุณพลับพลึง คุณเป็นอะไรหรือเปล่าชายหนุ่มสอบถามด้วยแววตาที่เป็นห่วง
ผมเข้าใจว่า คุณคงจะเสียใจมาก กับเหตุการณ์ในครั้งนั้น
แต่ผมแน่ใจว่า บุคคลเหล่านั้นคงไม่ได้มีความตั้งใจ ที่จะทำรายล้างเผ่าพันธุ์ของคุณ
ถ้าพวกเขาสามารถรับรู้ เหมือนที่ผมรับรู้และสามารถสื่อสารได้ เหมือนผมกับคุณในตอนนี้แล้ว บุคคลเหล่านั้นคงจะไม่มีวันทำร้ายพวกคุณแน่นอนชายหนุ่มพูดแผ่วเบา
ผมต้องขอโทษคุณ และดวงวิญญาณบรรพบุรุษของคุณ แทนบุคคลเหล่านั้นด้วย
ถ้าพวกเขาเหล่านั้นได้รับรู้ในภายหลังเช่นนี้ พวกเขาก็คงมีความรู้สึกผิด และเสียใจ เหมือนกับผมในตอนนี้เช่นกันชายหนุ่มกล่าวจบ ก็ค่อยๆเดินประคองร่างของหล่อนไปที่ลานหินใหญ่ราบเรียบก้อนหนึ่ง ซึ่งห่างจากกองไฟไม่มากนัก ก่อนที่จะค่อยๆบรรจงประคองหล่อนให้นั่งลงบนลานหินนั้น
เราขอบใจ ที่ท่านปลอบใจเราหญิงสาวพูดจบพลางสบตา
มันคงเป็นกรรมเก่า ที่เราและเผ่าพันธุ์ของเราได้สร้างไว้
ซึ่งเผ่าพันธุ์ของเรา ก็ได้ชดใช้กรรมเหล่านั้นแล้วหญิงสาวกล่าวจบ ก็ใช้หลังมือเช็ดน้ำตาที่คลอเบ้า
คุณลืมไปแล้วหรือครับ ว่าอย่างน้อยๆคุณยังมีผมอีกคนชายหนุ่มพูดพลางยิ้ม
เราเป็นเพื่อนกันแล้วไม่ใช่หรือครับ คุณพลับพลึงชายหนุ่มกล่าวออกมาด้วยความจริงใจ จึงทำให้ผู้ฟังยิ้มออกมาเป็นครั้งแรก หลังจากโศกเศร้าเสียใจอยู่นาน จนทำให้คนพูดสบายใจขึ้น
ท่านไม่กลัวเราฤาหญิงสาวหันมาผสานตา
ไม่หรอกครับ ตรงกันข้ามผมสงสารคุณพลับพลึงมากกว่า ที่จะต้องอยู่คนเดียวแบบนี้ คุณคงเหงาและว้าเหว่น่าดู
ผมขอให้คำสัญญากับคุณพลับพลึงว่า ผมจะเป็นเพื่อนที่ดีกับคุณตลอดไปพูดจบชายหนุ่มจับมือหญิงสาวขึ้นมากุม จนหล่อนเองก็เกิดอาการตกใจระคนขวยเขิน แต่ก็ไม่อาจซ่อนความปิติยินดีนี้ไว้ได้อยู่
ท่าน…
หญิงสาวกล่าวได้เพียงเท่านั้น หยาดน้ำตาแห่งความปิติ ก็เอ่อล้นมาเป็นทาง พร้อมๆกับอาการโผเข้าสวมกอดชายหนุ่ม โดยเจ้าตัวยังไม่ทันตั้งตัว สิงห์เองก็คาดไม่ถึง ว่าหล่อนจะกอดเขาแนบแน่นเช่นนี้ แรกๆก็เกร็งไปทั้งตัวเพราะความตกใจ แต่พอตั้งสติได้ ก็ค่อยๆ กอดกลับไป
พร้อมกับมือที่คอยลูบไปตามเส้นผมและแผ่นหลังเพื่อเป็นการปลอบโยนหล่อนอีกครั้ง สิงห์เองก็มีความรู้สึกสบายใจ และสนิทใจได้อย่างประหลาด แทนที่จะกลัวหล่อนเหมือนที่ผ่านๆมา เพื่อนฝูงทั้งคนและสัตว์ก็มีแล้ว จะมีเพื่อนเป็นผีสางนางไม้บางจะเป็นไรไป
เราก็จะเป็นมิตรกับท่านที่ดีเช่นกันหญิงสาวสะอื้นตอบ ขณะยังสวมกอดเข้าไว้เช่นนั้น ก่อนจะค่อยๆถอนกายออกจากอ้อมกอดของสิงห์ช้าๆ พลางปาดเช็ดน้ำตาที่อาบแก้มทั้งสองข้างแล้วพูดต่อมาว่า
ได้เวลา ที่เราต้องลาท่านแล้วหญิงสาวที่มีนามว่าพลับพลึงกล่าว
คุณจะไปแล้วหรือครับชายหนุ่มร้องทัก
ใช่ เวลาของเราใกล้หมดลงแล้ว
ด้วยไมตรีจิต เราไม่อาจตอบแทนท่านได้ด้วยสิ่งใด นอกจากสิ่งนี้หญิงสาวกล่าวจบก็ค่อยๆเอื้อมมือที่เรียวงาม ไปเด็ดดอกช้างกระที่หล่อนใช้เหน็บทัดหูอยู่ จากนั้นก็นำดอกกล้วยไม้ดอกเล็กๆดอกนั้นไปวางไว้บนฝ่ามือของชายหนุ่มอย่างแผ่วเบา ก่อนที่หล่อนจะค่อยๆลุกขึ้นยืนแล้วเตรียมผละไป ชายหนุ่มเห็นเช่นนั้นก็รีบลุกขึ้นยืนแล้วร้องขึ้นมาว่า
หวังว่าเราคงได้พบกันอีกนะครับ คุณพลับพลึงชายหนุ่มร้องบอกออกไป หญิงสาวหันกลับมายิ้มให้ พร้อมพยักหน้าให้เขาแล้วกล่าวตอบมาว่า
ทุกราตรีกาล ถ้าท่านต้องการพบเรา ท่านจงระลึกถึงเรา เมื่อนั้นเราจะได้พบกันอีกหญิงสาวกล่าวออกมาด้วยน้ำเสียงราบเรียบเป็นปกติ ก่อนร่างของหล่อนจะค่อยๆลับหายไปในเงามืดของต้นตะเคียนยักษ์
ชายหนุ่มทรุดกายลงนั่ง พลางเป่าลมฟู่ออกจากปากอย่างโล่งอก แล้วยกดอกกล้วยไม้ป่าดอกเล็กขึ้นดู อีกครั้งแล้วสินะ ที่เขาจะต้องมานั่งคนเดียวตามลำพังเช่นนี้ แต่คิดไปแล้ว ก็ไม่ได้อยู่คนเดียวโดดเดี่ยวเสียเมื่อไหร่ อย่างน้อยๆ ก็มีหล่อนผู้นั้นอยู่เป็นเพื่อน
ถึงแม้เธฮจะจากไปแล้วก็ตาม แต่ชายหนุ่มก็เชื่อว่า เธอคงกำลังเฝ้ามองเขาอยู่ ที่ใดสักแห่งในต้นตะเคียนยักษ์ต้นนั้น กลิ่นกายที่หอมของหล่อนยังติดตรึงใจไม่หาย ในขณะที่ได้มีโอกาสอยู่ใกล้ชิดกัน โดยเฉพาะช่วงเวลาที่ได้โอบกอดซึ่งกันและกัน กลิ่นอายความหอมระคนความอบอุ่น ยังคงรับรู้และสัมผัสได้อยู่ ถึงแม้ตัวหล่อนจะจากไปแล้วก็ตาม ซึ่งมันก็เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นอย่างน่าประหลาดใจ แต่มีบางอย่างที่ทำให้เขาประหลาดใจขึ้นอีก
ขณะยกนาฬิกาขึ้นดู เพื่อดูเวลา แล้วมันก็เป็นไปอย่างที่เขาคิดไว้ไม่มีผิด เข็มนาฬิกาที่เคยเดินตามปกติเมื่อครั้งล่าสุดที่อยู่บนห้างกับพรานเบ ก็ยังใช้งานได้อยู่ แต่มาบัดนี้มันกับหยุดนิ่งสนิท ไม่มีอาการเคลื่อนไหวใดๆ และที่สำคัญ มันบอกเวลาที่ หนึ่งนาฬิกายี่สิบเก้านาที หรือตีหนึ่งยี่สิบเก้า มันเป็นเวลาเดียวกันกับคืนก่อนไม่มีผิด ครั้งแรกที่เห็นชายหนุ่มก็แปลกใจอยู่บ้าง แต่เมื่อมีประสบการณ์มาแล้ว ก็ทำให้คลายความวิตกไปบ้าง ไหนๆจะต้องมานอนตามลำพังแบบนี้คนเดียว แบบนี้อะไรจะเกิดก็ต้องเกิด
ชายหนุ่มเดินตรงไปยังตำแหน่งเดิม ที่เขามานอนอยู่ คือบริเวณโคนต้นตะเคียนใหญ่ต้นนั้น ซึ่งห่างจากกองไฟกองเล็กออกไปไม่มาก หลังจากยืนพิจารณากองไฟกองนั้นอยู่อึดใจ เขาก็เดินผละไปยังตำแห่งที่เขาเคยเอนหลังนอน ชายหนุ่มไม่คิดจะหาฟืนมาสุมเพิ่มเหมือนครั้งก่อน
เพราะรู้ว่าทำไปก็เปล่าประโยชน์ ชายหนุ่มทรุดกายเอนหลังพิงอยู่กับลำต้นของตะเคียนยักษ์ต้นนั้น โดยปราศจากความเกรงกลัวใดๆ ตรงกันข้ามเขากลับมีความรู้สึกปลอดภัยและอบอุ่นเสียมากกว่า ชายหนุ่มนำดอกช้างกระที่กำอยู่ในมือขึ้นมาดูอีกครั้ง ไม่รู้ว่ามีอะไรมาดลจิตดลใจให้เขายกมันขึ้นมาดมอย่างลืมตัว ก่อนที่จะหย่อนดองกล้วยไม้ป่าดอกเล็ก ใส่ไว้ในกระเป๋าเสื้อข้างซ้ายของเขาเช่นเคย
มานอนเป็นเพื่อนแล้วนะ ปล่อยให้ยุงกัดล่ะน่าดู! ชายหนุ่มกล่าวออกมาลอยๆ ก่อนที่เปลือกตาที่หนักอึ้งของเขาจะค่อยๆ ปิดลง….