เสร็จแล้วสิงห์ก็นั่งซอยตะใคร่ หอมแดง ลงไปคลุกเคล้ากับเนื้อกบและน้ำพริกเผา ปรุงรสด้วยเกลือ มะนาวไม่มี ก็ใช้มะขามเปียกละลายกับน้ำร้อนแทน เท่านั้นยังไม่พอ สิงห์ยังซอยพริกนกลงไปอีกเป็นกำ จากนั้นสิงห์ก็เดินไปเลือกยอดมะกอกป่า ที่สองกะเหรี่ยงดงหามาได้หลายกำ เลือกเอาแต่ยอดใบใหญ่ๆ นำมาฟาดกับไฟให้ยอดมะกอกป่าพอสะดุ้งไฟ จากนั้นนำมาซอยเป็นฝอยๆ เอาไปคลุกเคล้ากับยำกบที่พักเอาไว้อีกครั้ง เพียงเวลาไม่ถึง สิบนาที ยำกบทูดก็เสร็จ เล่นเอาเพื่อนเกลอที่นั่งดูอยู่ใกล้ๆทนดูไม่ไหว ขอช้อนจากสิงห์ตักชิมคำใหญ่
ส่วนพรานโส่ยก็ไม่น้อยหน้า หลังจากเอาเนื้อตะพาบลงไปผัดกับเครื่องแกงจนหอมฉุยได้ที่ดีแล้ว แกก็เทยอดหวายสับและหยวกซอยลงไปผัดอีกครั้ง พอผักทั้งสองอย่างสุกๆดิบๆ จากนั้นก็เติมน้ำลงไปนิดหน่อยพอให้ขลุกคลิก ทิ้งไว้ให้เดือดแล้วปรุงรสด้วยเกลือ แถมก่อนยกลง แกยังตบพริกนกลงไปผัดอีกกำใหม่ เล่นเอาสิงห์และเหน๋อ ที่นั่งอยู่ใกล้ๆจามคนละสองสามครั้ง
เอ…พรานเบกับพี่พรไม่รู้ไปถึงไหนสิงห์พูดจบก็ยกนาฬิกาขึ้นดู
จะแปดโมงแล้วสิงห์พูดหลังยกนาฬิกาขึ้นดี ซึ่งเวลาตอนนี้ 7.48 นาที
ช่างมันเถอะ เดี๋ยวมันสองตัวก็มา อย่างเก่งก็ไม่เกิน สิบโมง พรานชราร้องตอบ พูดจบก็เขี่ยหัวมันเทียนที่แกหมกไว้ เออมาจากกองขี้เถ้า
ไม่หิวแย่ มากันตอนนั้นสิงห์พูดจบก็รับหัวมันเทียนเผา มาบิกิน
หิวล่ะมันหิวอยู่แล้ว แต่พวกข้ามันชินเสียแล้ววะไอ้สิงห์พรานโส่ยพูดจบก็โยนมันเทียนสุก ที่บิออกมาแล้วเข้าปากเคี้ยวกิน แต่แกกินไม่ค่อยถนัดนักเพราะหัวมันยังร้อนอยู่
จริงอย่างที่พรานโส่ยพูด กะเหรี่ยงอย่างพวกแก เรื่องอาหารการกินไม่ค่อยจะเป็นเวลานัก วันๆหนึ่งได้กินข้าว สองมื้อก็ถือว่าโชคดีแล้ว คือมื้อเช้าก็จะกินกันประมาณ 9 โมง ถึง 10 โมงเช้า และอีกมื้อก็เย็นๆหรือไม่ก็ค่ำ นอกเสียจากว่าต้องออกไปทำไร่ทำนา หรือหาของป่า ก็จะเตรียมอาหารแต่เช้า
พี่สิงห์หัวมันล้างดีแล้ว เอายังไงต่อเคิ้งร้องถาม ขณะที่ถือหัวมันเทียนในห่อใบตอง
ปลอกเปลือกเรียบร้อยดียังเคิ้งสิงห์ถาม
เรียบร้อยพี่สิงห์พุ่มตอบแทนเคิ้ง
หัวมันเทียนป่า ที่ขนาดของมันไม่ได้ใหญ่โตนัก อย่างเก่งที่สองหนุ่มหามาได้ก็ใหญ่ไม่เกินหัวแม่เท้า แต่พอปลอกเปลือกออกมาแล้วก็เหลือนิดเดียว คือใหญ่กว่าหัวแม่มือเล็กน้อย แต่ก็ไม่สำคัญเพราะมีจำนวนมากพอที่จะแบ่งกันกินได้ครบทุกคน อย่างน้อยๆก็คนละสองถ้วย หัวมันเทียนที่กระดำกระด่างในครั้งแรก พอถูกล้างทำความสะอาดก็ดูดีน่ากิน ทุกหัวถูกสิงห์ที่รับอาสาจะทำมันเชื่อมให้ ถูกหันเป็นชิ้นๆ ได้เกือบครึ่งหม้อแกง จากนั้นก็ให้เคิ้งลงไปตักน้ำในห้วยใส่ในหม้อพอท่วมหัวมันเล็กน้อย แล้วขึ้นตั้งไฟ
วันนี้เราจะออกเดินทางกันประมาณกี่โมงล่ะลุงโส่ยสิงห์หันไปถามพรานเฒ่า
ก็คงแล้วแต่ไอ้เบมันนั้นล่ะ อย่างเก่งก็คงไม่เกินเที่ยงพรานชราร้องตอบ
ข้าก็ว่าอย่างที่ลุงโส่ยแกพูด คงต้องรอน้าเบแกกลับมาก่อน ถึงจะรู้เหน๋อพูดพรางยกไม้คีบปลาเวียนและกบ ที่ตอนนี้สุกได้ที่ดีแล้ว เอาไปวางไว้บนร้านวางของ
ออกสายๆหน่อยก็ดีเหมือนกัน จะได้มีเวลาเตรียมกับข้าวกับปลา น้ำพริกก็ชักพร่องๆไปแล้ว มีเวลาข้าจะได้ตำใหม่พรานโส่ยพูดจบหลังจากยกกระปุกใส่น้ำพริกเผา ที่พรานเบตำเตรียมไว้จากที่บ้านเมื่อวาน
พูดถึงน้ำพริก ผมว่าพวกเราก็กินพริกกันเก่งเหมือนกันนะ สิงห์พูดจบก็ซุนท่อนฟืนเข้าไปใต้หม้อต้มมัน
ไม่มีเนื้อ ไม่มีปลา ข้ามีน้ำพริก ข้าก็อยู่ได้สบายแล้ว ผักหญ้าเยอะแยะออกเต็มป่าพรานโส่ยพูดจบก็ลื่อห่อหมากในย่ามขึ้นมาเคี้ยว
พริกนกแถวนี้ก็พอหาได้เยอะแยะ ทางโน้นขึ้นเป็นดงเลยพี่สิงห์เคิ้งชี้มือบอกสิงห์ไปที่ชายดง พูดจบก็ยกโอวัลติลขึ้นจิบ
ที่เขาว่า อยู่ป่าไม่มีวันอดตาย ถ้ารู้จักหา คงจะจริงสิงห์พูดจบก็เปิดฝา หม้อมันต้มขึ้นดู ซึ่งตอนนี้น้ำในหม้อเดือดพล่าน
แต่ถ้าจะให้ดี ข้าขอมีสตางค์เยอะๆดีกว่าว่ะ หาของป่ากิน มันก็หาไม่ได้ง่ายๆนะโว้ยพรานชราร้องตอบ พูดจบก็บ่วนน้ำหมากลงพื้นดังปริ๊ด
ผมว่าอยู่แบบนี้มันก็ดีเหมือนกันนะลุง ผักหญ้าสดสะอาดปลอดสารพิษสิงห์พูดพรางยกยอดผักหนามขึ้นมาดมเล่น
เอ็งพูดแปลกๆ แล้วผักหญ้าในเมืองมันมีพิษ หรอกรึ?พรานชราถาม
มีลุง แต่มันมีไม่มาก ขนาดกินปุ๊บตายปั๊บ ก็คงประมาณว่า กินไปนานๆแล้วมันไปสะสมในตัวเราล่ะลุงสิงห์พยายามอธิบายพรานชราที่กำลังทำหน้างงอยู่
ดูอย่างลุงสิ อายุอานามก็มากโขอยู่ ยังเดินป่า ปีนเขาได้สบายๆ ผมหนุ่มๆยังแพ้เลย แต่ถ้าเป็นคนแก่ในเมือง บางที หกสิบยังเดินไม่ค่อยจะไหวแล้วสิงห์พูดจบก็เอาช้อนกดลงบนชิ้นมันเทียนที่อยู่ในหม้อ เมื่อเห็นว่าหัวมันเทียนเริ่มสุกก็ค่อยๆเทน้ำตาลทรายลงไปพอประมาณ แล้วตักเกลือเติมลงไปเล็กน้อย
ผมว่าบางที คนเรามันจะแข็งแรง อายุยืน มันอยู่ที่สภาพที่กินที่อยู่ด้วย ที่เขาว่า กินดีอยู่ดี บางทีมันก็ไม่ดีเสมอไปหรอกสิงห์พูดพลางใช้ช้อนคนหม้อมันต้ม
ดูเอาง่ายๆลุง คนอยู่เหนือควันไฟแบบผม กับ คนอยู่หลังควันไฟแบบลุง ลุงว่าคนไหนจะดีกว่ากันล่ะสิงห์สรุปเอาง่ายๆแบบเห็นภาพ
เออ..น่าจะจริงของเอ็งไอ้สิงห์ เอ็งก็ต้องดีกว่าข้า ส่วนข้าแสบหูแสบตาไปหมดแล้วพรานชราพูดจบก็ลุกขึ้นเปลี่ยนที่นั่ง
พ่อ แล้วปลาในถุงนี้ล่ะ จะทำอะไร เดี๋ยวก็เน่ากันพอดีเคิ้งร้องถาม ขณะชูถุงปลาเล็กปลาน้อยให้ดู
บ๊ะ..ข้าเกือบลืมแล้วมั๊ยล่ะ ทำหมกแล้วกันง่ายๆ ไอ้พุ่มเอ็งไปตัดใบตองให้ข้าสักสองสามใบพรานชราสั่งงาน
เออลุงโส่ย ลุงช่วยทำกระทงใส่ของไหว้ให้ผมสัก สามสี่ใบหน่อยนะสิงห์พูดจบก็ยกหม้อต้มมันลงจากเตา
ผมจะได้รีบเอาไปถวายแม่ตะเคียน เดี๋ยวมันจะสายไปกันใหญ่พูดจบก็ยกนาฬิกาขึ้นดู ซึ่งตอนนี้เข็มนาฬิกาบอกเวลาที่ 8.15 น.
เพียงไม่ถึงอึดใจเจ้าพุ่มก็เดินแบกใบตองมาสามสี่ใบ พรานโส่ยจัดแจงแบ่งใบตองออกสามใบ ส่งให้เจ้าเคิ้งลูกชาย เอาไปใช้ทำหมกปลา ซึ่งเจ้าเคิ้งเองก็ใช่ว่าจะทำอะไรไม่เป็นเลย ในเรื่องการทำอาหารก็เก่งเกินตัว พูดไปแล้วหมกปลาก็ไม่ได้ทำยากเย็นแสนเข็นอะไรนัก
เครื่องแกงก็มีอยู่แล้ว คือพริกแห้ง กระเทียม หอมแดง ข่า ตะใคร้ เอามาโขลกรวมกันพอหยาบๆ ก็เอาไปคลุกเคล้ากับลูกกุ้งลูกปลาที่หามาได้ เติมเกลือลงไปนิดหน่อย เป็นอันจบ แต่ยังไม่เสร็จพิธี จากนั้นใช้ใบตองห่อหลายๆชั้น ถ้ากลัวห่อแล้วใบตองจะแตก ก่อนนำใบตองมาห่อ ก็นำไปลนไฟสักพักให้นิ่ม เท่านี้ก็ไม่ต้องกลัวห่อปลาแตกแล้ว จากนั้นก็ใช้ไม้หนีบคีบให้แน่น โดยใช้เถาวัลย์เส้นเล็กๆมัดปลายไม้คีบกันหลุดอีกที แล้วจึงนำไปปิ้งกับไฟอ่อนๆ
ส่วนพรานโส่ยหลังจากเลือกใบตองที่จะเอามาทำกระทงได้ตามที่ต้องการแล้ว แกก็นำใบตองไปลนไฟอ่อนๆให้มันนิ่ม เพื่อที่จะง่ายเวลาเย็บกระทง เพราะถ้าไม่ทำแบบนั้นแล้ว ใบตองจะแตกง่าย กระทงรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้าถูกเย็บด้วยซีกไม้กลัด ที่ทำจากเศษไม้ไผ่ชิ้นเล็กๆ จำนวนสี่ใบก็เสร็จอย่างรวดเร็ว แถมพรานโส่ยยังใช้ กาบกล้วย ที่ถูกทิ้งจากการเอาหยวกกล้วยมากิน นำมาทำถาดใส่กระทงอีกทีเพื่อกันกระทงพลิกคว่ำ หรือไม่ก็ตกหล่นเวลาเดินทาง ซึ่งดูคล้ายๆ กระทงเซ่นไหว้ตามทางสี่แพ่ง หรือตามคันนา
ข้าวสวยในหม้อสนามถูกตักแบ่งใส่กระทงใบตอง จนพูน นอกจากข้าวสวยแล้วยังมีแกงตะพาบของลุงโส่ย และยำกบฝีมือสิงห์อีกอย่างละกระทง สำหรับของอาหารคาว คงหมดปัญหา รวมถึงของหวาน คือมันเทียนเชื่อม อีกกระทง ทำให้เขาเบาใจได้อีกเป็นกอง ทีแรกสิงห์ทำท่าว่าจะรอหมกปลาของเคิ้งอีกอย่าง แต่กว่าจะสุกได้ที่คงต้องรออีกนานโข เพราะกลัวว่าจะสายจึงเปลี่ยนใจไม่อยู่รอ
เดี๋ยวผมไปเลยดีกว่าลุง ถ้าพรานเบแกกลับมา ก็บอกว่าผมไปไม่นานหรอกสิงห์พูดขณะเดินไปหยิบปืนคู่กายหลังจากมันถูกวางอิงไว้กับต้นไม้จนลำกล้องเย็นเฉียบ มาตรวจดูความเรียบร้อย ก่อนขึ้นสะพายไหล่
รีบไปรีบกลับก็แล้วกันพรานเฒ่าพูดจบก็ยกถาดเครื่องเซ่นส่งให้สิงห์
ขอเหล้าป่าผมสักหน่อยสิลุง เติมใส่กระติกผมก็ได้สิงห์ร้องขอเหล้าป่า ที่มีอยู่เหลือเฟือเป็นแกลอนพรานโส่ย
นานๆที่จะเจอเหล้า เอาไปแถมให้สักจอกสิงห์พูดติดตลก
เมื่อทุกอย่างพร้อมแล้ว เขาก็ออกเดินทางทันที ก่อนเดินจากที่พักมาเขาก็ร้องบอกให้ทุกคนกินข้าวกินปลากันก่อน ไม่ต้องรอ รวมถึงฝากบอกพรานคนอื่นๆที่ยังไม่กลับมาด้วยว่า เขาจะรีบไปรีบกลับ ไม่ต้องเป็นห่วง แล้วเขาก็ไล่เจ้าหมาสองตัวที่ทำท่าว่าจะวิ่งตามไปด้วย แต่พวกมันก็เหมือนจะไม่เชื่อคำสั่งที่เขาตวาดออกไป แต่เมื่อโดนท่อนไม้ขนาดเขื่องปาเขาใส่ถึงจะได้ผล เพียงไม่ถึงอึดใจร่างของชายหนุ่มก็ถูกกลืนหายเขาไปในดงทึบเบื้องหน้า
ชายหนุ่มบรรจงประคองเครื่องเซ่นไหว้อย่างระมัดระวัง เพราะกลัวจะตกหล่นหรือหกเสียกลางทาง โดยเฉพาะตอนที่จะต้องเดินลอดซุ้มไม้และเถาวัลย์ ที่ทอดขวางลำห้วย ซึ่งมันทอดยาวไปตามหุบเขาเบื้องหน้า ที่ตอนนี้ดูทึบทะมึนด้วยต้นไม้ใหญ่นานาชนิด ครั้งหนึ่งเขาเกือบจะล้มหงายหลัง เพราะเหยียบหินก้อนหนึ่ง ซึ่งเกิดพลิกเพราะมันอยู่ในตำแหน่งที่หมิ่นเหม่มาก่อนแล้ว แต่เดชะบุญ ที่เขาสามารถใช้มืออีกข้างยันตัวไว้ได้ทัน เมื่อตั้งหลักได้เขาก็รีบตรวจดูเครื่องเซ่นไหว้ ว่ายังอยู่ในสภาพดีหรือไม่ อย่างใจคอไม่ดีนัก เพราะถ้ามันหกหมดคงต้องกลับไปทำมาใหม่ แต่เมื่อตรวจดูแล้วก็ทำให้โล่งอก เพราะทุกอย่างยังอยู่ในสภาพดี มีเพียงน้ำแกง ของแกงตะพาบหกกระฉอกออกมาเล็กน้อยเท่านั้น
เสียงน้ำในลำห้วยไหลริน ดังจุ๋งจิ๋ง ครั้นเมื่อกระทบแก่งหินน้อยใหญ่ บางระดับที่อยู่สูงขึ้นไปก็ไหลตกลงมาเป็นน้ำตกขนาดเล็ก ดัง ซู่ซ่า สายน้ำสาดกระเซ็นเป็นฝอยละอองเล็กๆ คละเคล้ากับละอองหมอกจางๆ ที่ยังทอดตัวต่ำในพื้นป่า ละอองหมอกเป็นฝอยเล็กจับอยู่ตามใบไม้และต้นไม้จนชื้น ก่อนที่จะรวมตัวกันเป็นหยดน้ำตกลงพื้น เสียงลมจากปีกของนกกก หรือไม่ก็นกเงือกขนาดใหญ่ บินผ่านไปเหนือหัว เสียงของมันดัง หวือๆ แต่ก็มองไม่เห็นตัวของเจ้าของเสียง เพราะเบื้องบนนั้น หนาทึบไปด้วยยอดไม้ราวกับดอกกระล่ำปลี
ชายหนุ่มยังคงดั้นด้นต่อไปอย่างไม่ลดละ โดยมือซ้ายคอยประคองถาดเครื่องเซ่น ส่วนมือขวาคอยแหวกพุ่มรก ที่เข้ามากีดขวางเส้นทางในลำห้วยนั้น ครั้งหนึ่งชายหนุ่มต้องสะดุ้ง เมื่ออยู่ๆ พุ่มไม้เบื้องหน้ามีอาการสั่นไหวดังซ่า ติดตามมาด้วยเสียง โครม บนพื้นดังสนั่น เล่นเอาคนที่เดินมาคนเดียวขวัญผวา แต่เมื่อตั้งสติดูดีๆ ก็ทำให้โล่งอก เพราะที่มาของเสียงเกิดจาก กิ่งไม้ผุบนต้นไม้ใหญ่ต้นหนึ่งเกิดหักลงมาโดยบังเอิญ เมื่อไม่มีอะไรผิดสังเกตอย่างที่ตัวเองคิด ชายหนุ่มก็เดินลัดเลาะไปตามชายห้วยนั้นต่อไป
กระรอกแดงตัวหนึ่งกำลังหาลูกไม้สุกกินอย่างเพลิดเพลินบนยอดไม้ใหญ่ ครั้นเมื่อสำเหนียกเสียงผิดปกติจากพื้นเบื้องล่าง อารามด้วยความตกใจที่เห็นสิ่งมีชีวิตปริศนาโผล่ออกมาจากซุ้มไม้ มันจึงรีบกระโจนเข้าไปแอบบังตรงคาคบที่เต็มไปด้วยเถาวัลย์ ก่อนส่งเสียงร้อง ป๊อกๆ เป็นจังหวะ พร้อมกับทำหางฟูแกว่งไปมา มนุษย์ปริศนาเงยหน้าขึ้นมามองที่มาของเสียง แต่ก็ไม่มีปฏิกิริยาใดๆที่จะเป็นภัยต่อมัน เพียงอึดใจต่อมามนุษย์ปริศนาก็เดินผละไป
ที่ลำห้วยกว้างตอนหนึ่ง ซึ่งมีน้ำใสไหลรินลึกไม่เกินครึ่งหน้าแข้ง ริมฝั่งห้วยทั้งสองด้านเต็มไปด้วยก้อนหินและก้อนกรวดหลากหลายสี แต่ละก้อนเล็กใหญ่แตกต่างกันออกไป แต่สิ่งที่ดูเหมือนกันคือ ความราบเรียบเป็นมนไม่มีเหลี่ยมมุมเลยแม้แต่ก้อนเดียว ราวกับว่าเป็นหินจากแม่น้ำหรือไม่ก็หินตามเหมืองพลอยที่นิยมเอามาประดับสวน นอกจากหมู่หินนั้นแล้ว ใต้ผืนน้ำยังอุดมไปด้วยฝูงปลาเล็กปลาน้อย วายวนเวียนเต็มไปหมด ทั้งปลาเวียน ปลาสร้อย และปลาซิว ส่วนตามขอนไม้และกิ่งไม้ใต้น้ำ ยังมีหอยขมเกาะอาศัยอยู่มากมาย
ณ บริเวณริมห้วยสายนั้นเหนือขึ้นไป เงาตะคุ่มๆ ของตะเคียนยักษ์ต้นใหญ่ ที่ยืนต้นทะมึนหน้าเกรงขามในสายหมอก ซึ่งตอนนี้มองเห็นไม่ชัดนัก เพราะหมอกยังปกคลุมอยู่หนาทึบ แต่เมื่อชายหนุ่มเดินเข้าไปใกล้ ก็พอจะมองเห็นชัดขึ้น แต่ก็มองเห็นได้แค่เพียงแค่ครึ่งต้น ส่วนปลายยอดถูกกลืนหายเข้าไปในสายหมอก บริเวณตำแหน่งที่เคยดักลอบ ร่องรอยความเสียหายของรากตะเคียนที่แหลกยับยังมองเห็นถนัด และตรงนี้เองที่นำพาให้ชายหนุ่มต้องดั้นด้นมาเพื่อขอขมา เพราะความรู้เท่าไม่ถึงการณ์ของเขาและพรานเฒ่า ชายหนุ่มรวบรวมความทรงจำ และมองไปรอบๆ บริเวณโคนต้นตะเคียนนั้นอย่าง พิจารณา แล้วบ้างสิ่งบางอย่างทำให้เขาต้องตื่นเต้น!!