รายงานนี้ออกโดยศูนย์ควบคุมและป้องกันโรคแห่งสหรัฐอเมริกา (CDC) มีรายละเอียดเกี่ยวกับผู้ป่วยที่ติดเชื้อ Candida auris (C.auris) จำนวน 101 รายที่โรงพยาบาลและสถานดูแลระยะยาวใน DC ตั้งแต่เดือนมกราคม – เมษายน 2021 รวมถึง 22 รายในเท็กซัสในช่วงเวลาเดียวกัน จากทั้งหมด 123 รายพบว่ามีอย่างน้อย 5 รายที่ดื้อต่อยาต้านเชื้อราทั้งสามกลุ่มหลัก
“ภายใน 30 วัน มีถึงร้อยละ 30 ที่เสียชีวิต จากผู้ป่วยทั้งหมด 123 ราย แม้รายงานจะยังไม่ชัดเจ่นว่าเกี่ยวกับ C. auris หรือไม่”
C. auris เป็นเชื้อราที่เกิดขึ้นใหม่ซึ่งได้รับการอธิบายครั้งแรก โดยแพทย์ชาวญี่ปุ่นในปี 2009 แต่จากการวิจัยระบุว่าเชื้อราดังกล่าวสามารถผุดขึ้นพร้อมกันในปากีสถาน อินเดีย แอฟริกาใต้ และเวเนซุเอลา
มันจะทำให้เกิดการติดเชื้อในกระแสเลือด การติดเชื้อที่บาดแผล และการติดเชื้อที่หู เป็นที่ทราบกันดีว่าจะเหยื่อผู้ที่มีระบบภูมิคุ้มกันอ่อนแอโดยเฉพาะในโรงพยาบาล จะกลายเป็นเป้าหมายของการติดเชื้อราพวกนี้
ปกติเชื้อราสายพันธุ์นี้ถือเป็น “ภัยคุกคามด้านสุขภาพร้ายแรงไปทั่วโลก” เนื่องจากมันดื้อต่อยาต้านเชื้อราแทบทุกชนิด ดังนั้นจึงเรียกกันว่า “Superbug” เลยเป็นเชื้อราที่ยากต่อการรักษามาก
ทั้งนี้ CDC ไม่ได้อธิบายว่าทำไมกลุ่มสองกลุ่มนี้จึงเกิดขึ้นพร้อมกันในปีนี้ แต่น่าสังเกตว่าการระบาดใหญ่ของ COVID-19 ทำให้แบคทีเรียและเชื้อราดื้อยามีจำนวนเพิ่มขึ้น และยังเร็วเกินไปที่จะรู้ว่าอะไรอยู่เบื้องหลังการเพิ่มขึ้นของสิ่งนี้
แต่มีแนวคิดบางประการระบุว่า เป็นเพราะผู้ป่วยโควิด-19 ที่เข้ารับการรักษาในโรงพยาบาลจำนวนมาก พวกเขาติดเชื้อทุติยภูมิเนื่องจากระบบภูมิคุ้มกันอ่อนแอส่งผลให้มีการใช้ยาปฏิชีวนะ (และต้านเชื้อรา) เพิ่มขึ้น จนเป็นการกดดันให้เชื้อโรคเกิดการดื้อยา
ตอนนี้ขนาดของภัยคุกคามยังไม่แน่นอน แต่ผู้เชี่ยวชาญและหน่วยงานด้านสุขภาพจำนวนมากคาดว่า C. auris จะกลายเป็นความท้าทายที่สำคัญต่อสุขภาพของประชาชนในอีกไม่กี่ปีข้างหน้าและหลายทศวรรษข้างหน้า