ผลการศึกษาใหม่เมื่อเร็วๆ นี้เปิดเผยว่าหมูป่าได้ผสมพันธุ์กับหมูบ้าน (ที่อยู่อย่างอิสระ) จนพัฒนาเป็นสายพันธุ์ลูกผสมชนิดใหม่ จากการศึกษานี้นำโดย โดโนแวน แอนเดอร์สัน (Donovan Anderson) นักวิจัยจากมหาวิทยาลัยฟุกุชิมะในญี่ปุ่น ซึ่งกำลังขับรถผ่านเขตยกเว้นในพื้นที่รอบๆ เครื่องปฏิกรณ์นิวเคลียร์ฟุกุชิมะ เพื่อเฝ้าดูและเก็บตัวอย่างพวกมัน
“หมูป่าหลายร้อยตัวที่ในเขตรกร้างนิวเคลียร์ของฟุกุชิมะ มีระดับของธาตุกัมมันตภาพรังสีซีเซียม-137 สูงกว่าระดับที่ปลอดภัยถึง 300 เท่า”
พวกเขาได้ไปเก็บตัวอย่างจากหมูป่ามากกว่า 240 ตัว เพื่อไปตรวจ DNA หลังจากนั้นก็พบว่า มีหมูป่า 31 ตัวที่เป็นหมูป่าลูกผสม มันเป็นสิ่งยืนยันว่ามีการข้ามสายพันธุ์กัน
หลังจากนั้นทีมงานก็พบเรื่องประหลาดใจ ที่ว่าหมูป่าลูกผสมมีพันธุกรรมของหมูบ้านเพียง “เล็กน้อย” เท่านั้น และดูเหมือนจะน้อยลงเมื่อเวลาผ่านไป
แม้นักวิจัยเรียกชื่อเล่นว่า “หมูป่ากัมมันตภาพรังสี (Radioactive Boar-Pigs) แต่พวกมันไม่ได้เชื่อมโยงกับกัมมันตภาพรังสีที่ทำให้เกิดการพัฒนาสายพันธุ์ลูกผสมใหม่ (แต่พวกมันก็มีการแผ่รังสี)
ตามรายละเอียดในเว็บไซต์สมาคมนิวเคลียร์โลก หมูป่าชนิดนี้ยังคงมีการปนเปื้อนรังสีค่อนข้างมาก และสามารถวัดค่าในช่วงตั้งแต่กัมมันตภาพรังสีเป็นศูนย์จนถึง 30,000 เบกเคอเรลต่อกิโลกรัม
นอกจากนี้หมูป่าชนิดนี้ยังมีพฤติกรรมแปลกกว่าหมูป่าข้างนอกเล็กน้อย พวกเขาเรียกว่า “พฤติกรรมเวลากลางวัน” มันหมายความว่า ภายในพื้นที่อพยพ โดยทั่วไปในช่วงกลางวันหมูป่าชนิดใหม่จะกระฉับกระเฉงกว่าเมื่อเทียบกับหมูป่าตัวอื่นๆ ซึ่งมักจะออกหากินเวลากลางคืน แต่นั้นอาจเพราะไม่มีภัยคุกคามอย่างมนุษย์
“รัฐบาลญี่ปุ่นประมาณการว่า ตั้งแต่ปี 2014 – 2018 ประชากรหมูป่าเพิ่มขึ้นจาก 49,000 เป็น 62,000 ตัว แม้ว่าทีมของ Anderson คาดว่าตัวเลขจริงจะต้องสูงกว่านั้น”
และตั้งแต่ปี 2018 มีการยืนยันความปลอดภัยในพื้นที่ส่วนใหญ่ของฟุกุชิมะ รวมทั้งสัตว์ป่าส่วนใหญ่ที่ไม่มีการปนเปื้อนรังสี ผู้คนก็เริ่มทยอยกลับเข้าพื้นที่
จากวันนั้นจนถึงวันนี้พวกเขาเริ่มกวาดล้างหมูป่าเกือบทั้งหมดในพื้นที่ แน่นอนว่าพวกมันยังมีอีกมากที่อยู่ในป่า ..ส่วนอนาคตของหมูป่าชนิดใหม่นี้จะเป็นยังไงต่อไป คงต้องรอดูกันต่อไป แต่ที่แน่ๆ คนญีปุ่นในพื้นที่พยายามจับ-ฆ่าหมูป่าเกือบทั้งหมดที่พบในเขต