ถ้ำซอนด่อง (Son Doong Cave) ตั้งอยู่ในอุทยานแห่งชาติฟ็องญา-แก๋บ่าง (Phong Nha-Ke Bang) ในประเทศเวียดนาม เป็นถ้ำที่ความยาว 9 กิโลเมตร กว้างประมาณ 160 เมตร และสูงถึง 200 เมตร ในแง่ปริมาตรถ้ำขนาดใหญ่ที่สุดในโลก และยังมีระบบนิเวศน์ที่สมบูรณ์อยู่ภายใน
ถ้ำซอนด่อง เป็นถ้ำที่ยิ่งใหญ่ซะจนมีคำกล่าวที่ว่า “ระวังไดโนเสาร์” มันถูกใช้เป็นคำเตือนสำหรับนักสำรวจกลุ่มแรกๆ เมื่อพวกเขาพบเข้ากับสิ่งที่ใหญ่โตเกินกว่าจะเรียกว่าถ้ำ มันเป็นที่ๆ เต็มไปด้วยป่าเขียวชอุ่มเจริญเติบโตอยู่ภายใน ซึ่งผู้เชี่ยวชาญระบุว่าถ้ำซอนด่องมีอายุระหว่าง 2 – 5 ล้านปี เป็นถ้ำที่มีเพดานที่สูง 100 – 200 เมตร บางจุดมีแสงแดดลอดผ่านจนให้ความรู้สึกว่าอยู่ภายนอก จนเหมือนยุคก่อนประวัติศาสตร์
การค้นพบทางเข้าถ้ำซอนด่อง (Son Doong Cave)
ถ้ำถูกค้นพบครั้งแรกในปี พ.ศ. 2533 (1990) โดยโฮคานห์ (Ho Khanh) ชาวบ้านท้องถิ่น ในตอนนั้นเขากำลังหาที่หลบภัยจากพายุที่พัดผ่านป่าแห่งนี้ เขาสังเกตเห็นเมฆและเสียงของแม่น้ำที่อยู่ใต้ดิน ที่พุ่งออกมาจากรูขนาดใหญ่ในหินปูน เขาจึงกลับไปรายงานการค้นพบของเขาต่อสมาคมวิจัยถ้ำแห่งอังกฤษ (BCRA) ซึ่งในขณะนั้นกำลังทำงานอยู่ที่อุทยานแห่งชาติใกล้ๆ
โชคไม่ดีที่โฮคานห์ จำตำแหน่งของถ้ำไม่ได้ ด้วยเหตุนี้ตำแหน่งที่แน่นอนของถ้ำจึงสูญหายไปเป็นเวลานานถึง 18 ปี จนในปี พ.ศ.2551 (2008) ขณะกำลังตามหาอาหารในป่า เขาก็พบทางเข้าถ้ำอีกครั้ง จากนั้นในปีต่อมา เขากลับมาพร้อมกับฮาวเวิร์ด (Howard) และ เด็บ ลิมเบิร์ต (Deb Limbert) จาก BCRA
ครั้งนี้พวกเขาเริ่มสำรวจถ้ำแห่งนี้ จนในปี พ.ศ. 2553 (2010) จึงได้กำหนดให้ถ้ำซอนด่อง เป็นถ้ำที่ใหญ่ที่สุดเท่าที่เคยพบมา โดยจากการสำรวจพบว่า ถ้ำมีขนาด 38,500,000 ลูกบาศก์เมตร มันเป็นข่าวที่สะเทือนโลก โดยถ้ำหลักเพียงแห่งเดียวของถ้ำซอนด่อง ก็มีความยาวมากกว่า 5 กิโลเมตร และสูงถึง 200 เมตร มีขนาดใหญ่พอที่จะเป็นที่ตั้งตึกแถวของนิวยอร์กได้
แต่ขนาดของถ้ำยังไม่หยุดอยู่แค่นั้น เพราะจากการสำรวจเมื่อปี พ.ศ. 2562 นักสำรวจได้พบเข้ากับแม่น้ำใต้ดินขนาดใหญ่ ซึ่งเชื่อมต่อกับถ้ำที่อยู่ใกล้เคียง ด้วยเหตุนี้ขนาดของถ้ำซอนด่องจึงเพิ่มอีก 1,600,000 ลูกบาศก์เมตร โดยถ้ำส่วนนี้เป็นถ้ำหินย้อยที่สูงถึง 70 เมตร จึงกลายเป็นถ้ำหินย้อยที่สูงที่สุดในโลก
ระบบนิเวศภายในถ้ำซอนด่อง มีเอกลักษณ์เฉพาะตัว มันมีขนาดใหญ่ และยังมีระบบของสภาพอากาศเป็นของตัวเองอีกด้วย ไข่มุกในถ้ำหินปูนที่หายากก็กระจัดกระจายอยู่ในแอ่งน้ำแห้ง และภายในยังมีหินงอกหินย้อยมากมาย
ตัวถ้ำมีส่วนเพดานที่พังทลาย จนเกิดเป็นช่องเปิดรับแสงภายนอกที่เรียกว่าโดไลน์ (Dolines) มันทำให้ต้นไม้ พืชจำนวนมาก สามารถเติบโตภายในถ้ำได้ และยังมีสิ่งมีชีวิตขนาดเล็กที่เจริญเติบโตได้ในความมืด
การท่องเที่ยว
ในปี พ.ศ. 2556 (2013) ถ้ำซอนด่อง เปิดให้สาธารณชนเข้าชมได้เป็นครั้งแรก ซึ่งต้องผ่านบริษัททัวร์เท่านั้น มันเป็นการจำกัดทัวร์ให้มีเพียงผู้ดำเนินการเพียงรายเดียว สิ่งนี้ช่วยป้องกันถ้ำจากการพัฒนาที่รวดเร็วเกินไป และอนุญาตให้มีลูกค้าที่จำกัดมาก เหตุผลเพื่อรักษาถ้ำเอาไว้ในสภาพเดิมที่สุด
ในตอนนั้น นักท่องเที่ยวกลุ่มแรกๆ ต้องจ่ายเงินถึง 3,000 เหรียญสหรัฐต่อคน และทุกคนต้องมีใบอนุญาตในการเข้าถึงถ้ำ มันเป็นการให้บริการอย่างจำกัด มีใบอนุญาตเพียง 1,000 ใบต่อหนึ่งฤดูกาล ซึ่งเริ่มตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์ – สิงหาคม หลังจากเดือนสิงหาคม ฝนจะตกหนักทำให้ระดับน้ำในแม่น้ำสูงขึ้น จนพื้นที่ในถ้ำส่วนใหญ่ไม่สามารถเข้าถึงได้
จุดเด่นของถ้ำคือการปีนเขา โดยปกติการปีนเขาจะแบ่งระดับความยากออกเป็น 6 ระดับ และซอนด่องก็อยู่ในระดับ 6 ซึ่งเป็นระดับยากสุด เมื่อเข้าไปในถ้ำ นอกจากจะได้เห็นความยิ่งใหญ่อลังการ ธรรมชาติที่สวยงามของตัวถ้ำ จะพบกับความอัศจรรย์ของเมฆที่ลอยอยู่ในถ้ำ มีแม้แต่ฝนตกเฉพาะภายในถ้ำ
และด้วยระบบนิเวศพิเศษของถ้ำ สภาพของถ้ำจึงเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา ซึ่งสภาพอากาศจะส่งผลต่อทัศนวิสัยภายในถ้ำ ส่วนการที่จะเที่ยวถ้ำซอนด่อง นั้นก็ไม่ใช่เรื่องง่าย จะต้องเดินผ่านเส้นทางที่ยากลำบาก ต้องเดินเท้าเป็นวัน แต่ถ้าได้ไปถึงแล้วรับรองคุ้มค่าแน่นอน
ทั้งนี้ถ้ำซอนด่องเคยเกือบจะถูกทำลายจากนายทุนอยู่หลายครั้ง เคยมีครั้งหนึ่งมีแผนสร้างระบบเคเบิลคาร์ผ่านถ้ำ แน่นอนว่าหากแผนนี้สำเร็จ จะทำให้เกิดการท่องเที่ยวขนาดใหญ่ อย่างไรก็ตามแผนดังกล่าวถูกคัดค้านโดยนักอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมและคนในพื้นที่ นั้นเพราะจะมีผู้คนจำนวนมากมายมาที่ถ้ำ ซึ่งอาจก่อให้เกิดความเสียหายต่อถ้ำและสภาพแวดล้อมในท้องถิ่น จนในที่สุดแผนนี้ก็ถูกยกเลิกโดยรัฐบาลท้องถิ่น และในตอนนี้ถ้ำซอนด่อง ได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกโดย UNESCO เป็นหนึ่งในจุดหมายปลายทางที่มีเสน่ห์ที่สุด ที่คุณสามารถสัมผัสได้ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้