ทะเลสาบสายฟ้าคืออะไร?
ทะเลสาบสายฟ้า มันเป็นปรากฏการณ์ที่ถูกเรียกว่า คาตาทัมโบไลนนิ่ง (Catatumbo lightning) มันเกิดขึ้นในบริเวณเล็กๆ จุดบรรจบของแม่น้ำคาตาทัมโบ (Catatumbo) กับทะเลสาบมาราไกโบ (Maracaibo) ประเทศเวเนซุเอลา บริเวณนี้ทำให้เกิดพายุเฉลี่ย 260 วันต่อปี! และมีสายฟ้านับพันครั้งต่อชั่วโมง
ด้วยความที่เป็นบริเวณที่มีฟ้าผ่านับพันครั้งทุกชั่วโมง เลยทำให้ท้องฟ้ายามค่ำคืนเหนือทะเลสาบสว่างไสวเป็นประจำ โดยปกติจะเกิดฟ้าผ่าเป็นเวลาราวๆ 9 ชั่วโมงต่อวัน ซึ่งทั้งหมดเกิดจากฟ้าผ่าที่เป็นปรากฏการณ์ทางธรรมชาติ
และเพราะแบบนี้ทะเลสาบมาราไกโบ (Maracaibo) จึงได้รับตำแหน่งจาก Guinness Book of World Records ว่าเป็นที่ๆ มีฟ้าผ่ามากที่สุดในโลก ด้วยตัวเลข “ฟ้าผ่า 250 ครั้งต่อตารางกิโลเมตรต่อปี หรือ 16 – 40 ครั้งต่อนาที สว่างพอที่จะมองเห็นได้ไกลถึง 400 กิโลเมตร ” ซึ่งพายุฟ้าผ่าจะสงบลงในช่วงเดือนมกราคมและกุมภาพันธ์ ซึ่งเป็นฤดูแล้ง
กระแสน้ำสีดำชั่วนิรันดร์ คืออะไร?
ทะเลสาบมาราไกโบ (Lake Maracaibo) เป็นทะเลสาบที่อยู่ในประเทศเวเนซุเอลา รอบๆ ทะเลสาบเต็มไปด้วยโรงกลั่นน้ำมัน แต่เพราะการล่มสลายทางเศรษฐกิจของเวเนซุเอลา เลยทำให้บ่อน้ำและท่อต่างๆ พังทลายลง
แหล่งน้ำขนาดใหญ่แห่งนี้ ครอบคลุมพื้นที่ 13,200 ตารางกิโลเมตร และไหลลงสู่ทะเลแคริบเบียน มันเคยเป็นแหล่งน้ำที่สวยงามและเต็มไปด้วยสัตว์น้ำ แต่มันได้ถูกปกคลุมไปโดยสิ่งที่ชาวบ้านเรียกว่า “กระแสน้ำสีดำชั่วนิรันดร์” .. หรือก็คือน้ำมันดิบที่จะลอยอยู่ในทะเลสาบแห่งนี้ตลอดกาล
สิ่งนี้ไม่เพียงแต่จะเป็นอันตรายต่อสัตว์และพืชในทะเลสาบเท่านั้น แต่ยังเป็นอันตรายต่อวิถีชีวิตของผู้คนที่ต้องพึ่งพาสัตว์ในทะเลสาบ ซึ่งชาวประมงต้องจับสัตว์น้ำที่ถูกเคลือบน้ำมันทุกๆ วัน มันยากที่จะทำความสะอาด นั้นเพราะแหล่งน้ำใกล้ตัวของพวกเขาก็เต็มไปด้วยน้ำมัน เครื่องมือเครื่องไม้สำหรับจับปลาก็ถูกเคลือบไปด้วยน้ำมัน
ทั้งนี้แหล่งน้ำมันที่อยู่ใต้ดินลึกใต้ทะเลสาบ เคยเป็นแหล่งสร้างรายได้ให้กับประเทศมหาศาล พวกเขาสกัดน้ำมันจากใต้ทะเลสาบแห่งนี้มาเป็นเวลา 100 ปีแล้ว มันเคยทำให้เวเนซุเอลาเป็นหนึ่งในประเทศรำรวยที่สุดในโลก ซึ่งเมื่อเกือบ 20 ปีก่อน ประเทศเวเนซุเอลา ผลิตน้ำมันดิบอยู่ที่ 3.2 ล้าน บาร์เรลต่อวัน จนในปี พ.ศ. 2551 (2008) ผลกระทบจากการคว่ำบาตรของสหรัฐฯ ได้ทำให้เวเนซุเอลาเข้าสู่วิกฤตเศรษฐกิจ
การผลิตน้ำมันลดลงเหลือ 160,000 บาร์เรลต่อวัน บริษัทน้ำมันของรัฐบาล ไม่สามารถรักษาสายเคเบิลและท่อส่งน้ำมันใต้น้ำให้อยู่ในสถาพที่ดีได้ สุดท้ายโครงสร้างพื้นฐานจึงเสื่อมโทรมลง เป็นเหตุให้มลภาวะเพิ่มก็ขึ้น
ไม่มีใครในรัฐบาลกล้าเปิดเผยตัวเลขที่เกี่ยวกับปริมาณน้ำมัน ที่รั่วไหลลงสู่ทะเลสาบมาราไกโบ แต่เท่าที่รู้ตอนนี้มีแหล่งน้ำมันอย่างน้อย 3 ใน 8 แห่ง ที่เกิดน้ำมันรั่วอย่างถาวรมาตั้งแต่ปี พ.ศ.2562 (2019) ..จนถึงทุกวันนี้ก็ยังเป็นเช่นนั้นอยู่ และแม้จะมีการแจ้งปัญหากับกระทรวงสิ่งแวดล้อม แต่พวกเขาก็ไม่เคยมาแก้ไข
สุดท้ายจากกรณีของทะเลสาบมาราไกโบ ได้แสดงให้เห็นว่าแหล่งน้ำมันที่อยู่ใต้น้ำนั้น หากขาดการดูแลรักษา มันจะเกิดการรั่วไหลอย่างแน่นอน และการดูแลรักษาก็ต้องใช้เงินจำนวนมาก และเมื่อบริษัทน้ำมันไม่ได้อยู่ในจุดที่ทำกำไร พวกเขาอาจทิ้งบ่อไป และสุดท้ายก็จะเกิดปัญหากับสภาพแวดล้อมอย่างรุนแรง ซึ่งอาจจะมากกว่าที่เกิดกับทะเลสาบมาราไกโบก็ได้