การหย่าร้างเช่นนี้เป็นสิ่งที่เผ่าพันธุ์คู่สมรสคนเดียวในสังคมใช้เมื่อเห็นได้ชัดว่าพวกมันเข้ากันไม่ได้ สำหรับนกอัลบาทรอสอาจเป็นความล้มเหลวในการตกไข่ ซึ่งเป็นความสามารถในการผลิตลูกหลาน หรือลูกนกที่เกิดมาไม่แข็งแรง
เนื่องด้วยวิกฤตการณ์สภาพภูมิอากาศ ส่งผลกระทบอย่างมีนัยสำคัญต่อการเปลี่ยนแปลงสิ่งแวดล้อม ที่มีต่ออัตราการเกิดของสัตว์ป่าและสุขภาพของลูกหลานของพวกมัน
เราสามารถเห็นในสัตว์เลื้อยคลานเช่น จระเข้และเต่า ซึ่งไข่ของพวกมันจะฟักออกจากมาใต้ดิน เหตุที่อุณหภูมิเพิ่มสูงขึ้น อาจทำให้ไข่สุก หรือลูกของมันออกมาก่อนกำหนด หรืออาจไม่ออกมาเลย
เพื่อตรวจสอบว่าวิกฤตสภาพภูมิอากาศ มีอิทธิพลต่ออัตราความสำเร็จของนกอัลบาทรอสคิ้วดำ (Thalassarche melanophris) หรือไม่? นักวิจัยที่เขียนในรายงานการประชุมของ Royal Society B ได้ศึกษาข้อมูลที่รวบรวมมาตั้งแต่ปี 2003
จากการวิเคราะห์แนวโน้มในอดีตของอัตราการสืบพันธุ์ และการหย่าร้างของนกอัลบาทรอสคิ้วดำ พวกเขาสามารถระบุได้ว่า คู่รักนกอัลบาทรอสมีแนวโน้มที่จะหย่าร้างกันมากขึ้น หลังจากความล้มเหลวในการผสมพันธุ์ น่าแปลกที่อัตราการหย่าร้างได้รับผลกระทบจากสิ่งแวดล้อมเช่นกัน
อัตราการหย่าร้างของนกอัลบาทรอสยังเพิ่มขึ้นในช่วงหลายปี ด้วยอุณหภูมิพื้นผิวน้ำทะเลที่ร้อนผิดปกติ แม้แต่ในตัวเมียที่มีความสัมพันธ์ที่ประสบความสำเร็จในการสืบพันธุ์ เนื่องจากนกอัลบาทรอสบางสายพันธุ์ใช้เวลาอยู่ในทะเลนานถึงห้าปีติดต่อกัน จึงง่ายที่จะเห็นว่าอุณหภูมิที่ร้อนขึ้นที่นี่สามารถตรวจจับได้โดยนก
“เป็นครั้งแรกสำหรับความรู้ของเรา ที่เราได้บันทึกผลกระทบจากสภาพแวดล้อมที่ท้าทายในกระบวนการเพาะพันธุ์ ประชากรที่มีคู่สมรสเดียว ซึ่งอาจเกี่ยวกับต้นทุนการสืบพันธุ์ที่สูงขึ้น การเปลี่ยนแปลงในลักษณะฟีโนโลยี (Phenology) และความเครียดทางสรีรวิทยา” ผู้เขียนรายงานกล่าว “การหย่าร้างที่ขับเคลื่อนด้วยสิ่งแวดล้อม อาจแสดงถึงผลที่ตามมาของการเปลี่ยนแปลงทั่วโลกที่ถูกมองข้าม”
ตามรายงานของ International Union for Conservation of Nature นกอัลบาทรอสคิ้วดำในปัจจุบัน ถือว่ามีความกังวลน้อยที่สุด อย่างไรก็ตาม หากวิกฤตสภาพภูมิอากาศยังคงเป็นสาเหตุให้เกิดการหย่าร้างของนกอัลบาทรอสบ่อยครั้งและก่อนกำหนด นกทะเลที่โดดเด่นเหล่านี้ในอนาคตอาจถูกโยนไปที่ความเสี่ยง
