สงครามเย็นบีบให้ต้องทดสอบ Starfish Prime
1 ปี ก่อนการยิง Starfish Prime ขึ้นสู่อวกาศ มีการเจรจาเกี่ยวกับการห้ามทดสอบนิวเคลียร์ทั่วโลก แต่เรื่องมันกลับแย่ลง เพราะสหภาพโซเวียตได้ทำการทดสอบระเบิดนิวเคลียร์ถึง 31 ครั้ง รวมถึง “ซาร์บอมบา” ระเบิดนิวเคลียร์ใหญ่ที่สุดเท่าที่เคยจุดชนวน มันถูกทดสอบในเดือน ตุลาคม 1961 ประมาณ 13,000 ฟุตเหนือเกาะในอาร์กติกเซอร์เคิล
ภาพบนซาร์บอมบา มีขนาด 50 เมกะตัน 3,333 เท่า ของแรงระเบิดที่ลงในเมืองฮิโรชิมาของญี่ปุ่น เป็นระเบิดนิวเคลียร์ใหญ่ที่สุดเท่าที่เคยจุดชนวน
การแข่งขันด้านอวกาศอยู่ในช่วงเริ่มต้น กองทัพสหรัฐไม่เคยจะกลัวที่จะส่งเกือบทุกสิ่งที่คิดได้ขึ้นสู่อวกาศ เคยลองส่งแม้แต่เข็มทองแดง 500 ล้านเข็มขึ้นสู่วงโคจร เพื่อพยายามสะท้อนคลื่นวิทยุ มีแม้แต่แผนเอาระเบิดนิวเคลียร์ไปติดตั้งบนดวงจันทร์
จากแผนทั้งหมด พวกเขาคิดว่า Starfish Prime จะทำได้เร็วสุด เพราะพวกเขามีจรวดสำหรับส่งอะไรก็ได้ไปอวกาศ เพียงแค่เอาระเบิดนิวเคลียร์ติดเข้าไป แล้วพวกเขาก็อยากรู้ด้วยว่า เมื่อระเบิดแล้วจะส่งผลต่อสนามแม่เหล็กของโลกได้อย่างไร มันจะเป็นไปอย่างที่คิดหรือไม่? ..สุดท้ายสหรัฐจึงยิงจรวดในวันที่ วันที่ 8 กรกฎาคม 1962 (กำหนดเดิมคือ 20 มิถุนายน 1962 แต่ล้มเหลว)
ยิง Starfish Prime ขึ้นสู่อวกาศ ตามด้วยขีปนาวุธ 27 ลูก
วันที่ 8 กรกฎาคม 1962 (ตามเวลาโฮโนลูลู) กลางคืนบนเกาะปะการัง Midway Atoll กองทัพสหรัฐฯ มีกำหนดในการปล่อยจรวด Thor สู่อวกาศเพื่อทดสอบระเบิดนิวเคลียร์ มันเป็นระเบิดขนาด 1.4 เมกะตัน ทรงพลังกว่าระเบิดที่ฮิโรชิมา 500 เท่า
การยิงจรวดเป็นไปด้วยดี และ Starfish Prime ก็ระเบิดที่ความสูง 250 ไมล์ อีกเพียง 4 ไมล์จะถึงความสูงของสถานีอวกาศนานาชาติ ผลกระทบแรกที่คนบนพื้นดินเห็นคือ อนุภาคที่เกิดจากการระเบิดชนกับโมเลกุลในชั้นบรรยากาศของโลก ทำให้เกิดแสงออโรรา “เทียม” ที่สามารถมองเห็นได้ไกลถึงนิวซีแลนด์
ในการยิง Starfish Prime กองทัพสหรัฐ ยังส่งขีปนาวุธขนาดเล็กจำนวน 27 ลูก พวกมันติดตั้งเครื่องมือวิทยาศาสตร์เพื่อวัดผลกระทบจากการระเบิด มีเครื่องบินและเรือเข้าประจำตำแหน่งเพื่อบันทึกการทดสอบให้ได้มากที่สุด
นักวิทยาศาสตร์รู้อยู่แล้วว่าระเบิดนิวเคลียร์ในอวกาศจะต้องต่างจากบนพื้นดินอย่างมาก มันไม่มีเมฆเห็ด ผู้ชมไม่รู้สึกถึงคลื่นกระแทกหรือได้ยินเสียงใดๆ มันเป็นการระเบิดอย่างเงียบๆ มีเพียงลูกบอลพลาสมาที่สว่างขึ้น ผลกระทบนี้ทำให้เกิดแสงออโรร่าเทียมที่มีสีสัน และนี่คือสาเหตุที่บางครั้งเรียกว่า “ระเบิดรุ้ง”
หลังจากระเบิดไม่นานนัก มันก็เกิดสิ่งที่นักวิทยาศาสตร์คาดการณ์ไว้ “เข็มขัดปลาดาว (Starfish belt)” แต่มันใหญ่กว่าที่คิดมาก จากนั้นมีรายงานดาวเทียมชื่อ Ariel-1 ดับไป 1 ดวง โดยดาวเทียมดวงนี้ถือเป็นดาวเทียมดวงแรกในโลกที่ออกอากาศสัญญาณโทรทัศน์สดและเป็นของอังกฤษ
ห่างจากจุดระเบิด 900 ไมล์ ไฟถนนดับไปประมาณ 300 ดวง สัญญาณกันขโมยจำนวนมากทำงาน สร้างความเสียหายให้กับบริษัทโทรศัพท์ในพื้นที่ และกับทุกสิ่งที่อ่อนไหวต่อคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า
กว่าชาวบ้านจะรู้ว่าดาวเทียมดับไปเป็นเพราะ Starfish Prime ก็อีกหลายปีต่อมา และยังมีดาวเทียมอย่างน้อย 6 ดวงทำงานล้มเหลว จนในปี 1962 มีรายงานว่า Starfish Prime ได้สร้างแถบอิเล็กตรอน MeV ที่คงอยู่ได้นานถึง 5 ปี
จากการทดสอบช่วยให้สหรัฐเข้าใจรูปแบบสภาพอากาศในบรรยากาศชั้นบนมากขึ้น และยังช่วยให้สร้างระบบที่เรียกว่า Vela Hotel (Project Vela) เพื่อใช้ตรวจสอบการทดสอบของประเทศอื่นๆ และยังทำให้สนธิสัญญาห้ามนิวเคลียร์ในอวกาศมีความสมจริงมากขึ้น
สนธิสัญญาห้ามทดสอบนิวเคลียร์ทั่วโลก
1 ปีหลังการทดสอบ Starfish Prime สหรัฐอเมริกา สหราชอาณาจักร และสหภาพโซเวียต ได้ลงนามในสนธิสัญญาห้ามทดสอบนิวเคลียร์แบบจำกัด และอวกาศรอบนอก
ผลลัพธ์ของ Starfish Prime ได้ทำหน้าที่เป็นเครื่องเตือนใจ ถึงสิ่งที่อาจเกิดขึ้นหากสนามแม่เหล็กของโลกถูกระเบิดอีกครั้งด้วยปริมาณรังสีที่สูงกว่านี้ ไม่ว่าจะมาจากนิวเคลียร์อื่นหรือจากแหล่งธรรมชาติ เช่น ดวงอาทิตย์
และนี่คือเรื่องราวย่อๆ ของ ระเบิดนิวเคลียร์ในอวกาศครั้งแรก แต่รู้หรือไม่ว่าหลังจากนั้นสหรัฐ ก็ได้ทดสอบนิวเคลียร์ในระดับสูงอีกหลายครั้งเช่น Hardtack Teak จุดชนวนที่ระดับความสูง 76.8 กิโลเมตร