ชื่อของ “Point Nemo” ไม่ได้มาจากปลานีโมแต่อย่างใด แต่มาจากกัปตันนีโม (Captain Nemo) ตัวละครในนิยายวิทยาศาสตร์เรื่อง ใต้ทะเลสองหมื่นโยชน์ (20,000 Leagues Under the Sea) ของ ฌูลส์ เวิร์น (Jules Verne) นักเขียนชื่อดังชาวฝรั่งเศส
นอกจากนี้คำว่า “Nemo” ในเป็นภาษาละตินแปลว่า “ไม่มีผู้ใด” …แม้แต่การค้นพบพอยท์นีโม ในปี 1992 ก็เกิดจากการสำรวจโดยใช้โปรแกรมคอมพิวเตอร์เพื่อคำนวณพิกัด จึงเป็นไปได้ว่าในตอนนั้นยังไม่เคยมีมนุษย์คนใด เข้าไปใกล้บริเวณนี้เลย และแม้จะเป็นตอนนี้ก็มีน้อยมากๆ อยู่ดี
พอยท์นีโม เคยถูกพูดถึงในฐานะ “รังของสัตว์ประหลาด” ในนิยาย
เมื่อนักวิจัยเคยบันทึกเสียงที่แปลกประหลาดที่เรียกว่า “The Bloop” ได้จากบริเวณนี้ ทำให้หลายๆ คนคิดว่านี่คือเสียงของ คธูลู (Cthulhu) สัตว์ประหลาดขนาดใหญ่ ที่มีหัวคล้ายกับหมึกที่มีหนวดระยาง มีเกล็ดและกงเล็บแหลมคม
ในนิยายเสียงเรียกของคธูลู (The Call of Cthulhu) ที่ตีพิมพ์ในปี 1928 ได้บรรยายและใส่พิกัด นครรุลูเยห์ (R’lyeh) เมืองใต้บาดาลที่คธูลูอาศัยอยู่ ใกล้เคียงกับพอยท์นีโมมากๆ มันเป็นราวกับคำทำนาย แต่ทฤษฎีนี้ถูกตีตกไปเมื่อได้รับการพิสูจน์ว่า The Bloop เป็นเสียงของน้ำแข็งที่แตกออกจากทวีปแอนตาร์กติกาเท่านั่นเอง
ความจริงพอยท์นีโม มีความน่าสนใจยิ่งกว่า
ความเป็นจริงแล้ว พอยท์นีโมมีความน่าสนใจยิ่งกว่านั้น เพราะสถานที่อันห่างไกลและไร้ผู้คนแห่งนี้ถูกใช้เป็น “สุสานยานอวกาศ”
เนื่องจากยานอวกาศถูกออกแบบให้พังทลาย เมื่อเข้าสู่ชั้นบรรยากาศโลก นักวิทยาศาสตร์จึงต้องเลือกพื้นที่ที่มีความเสี่ยงต่ำ ที่เศษของยานจะส่งผลกระทบต่อมนุษย์ พอยท์นีโมจึงเป็นตัวเลือกที่ดีที่สุด เพราะนอกจากจะอยู่ห่างไกลมนุษย์ที่สุดแล้ว ยังมีปริมาณสิ่งมีชีวิตในบริเวณนั้นที่น้อย
ปัจจุบันมียานอวกาศ สถานีอวกาศ และดาวเทียมที่ปลดประจำการ ตกสู่ผิวโลกในบริเวณนี้ มากกว่า 263 ลำ รวมถึงสถานีอวกาศนานาชาติ (International Space Station: ISS) ที่มีน้ำหนักมากถึง 420 ตัน ซึ่งเป็นวัตถุขนาดใหญ่ที่สุด ซึ่งตอนนี้ถูกวางแผนให้ตกลงบริเวณพอยท์นีโมเมื่อครบอายุการใช้งานในปี 2024
ในปี 2013 นาซา รายงานว่ามีการเศษซากมากกว่า 500,000 ชิ้น โดย 20,000 ชิ้นมีขนาดใหญ่กว่าซอฟต์บอล เนื่องจาก “ขยะอวกาศ” สามารถเดินทางด้วยความเร็วสูงถึง 17,500 ไมล์ต่อชั่วโมง แม้แต่ชิ้นส่วนเล็กๆ ก็ยังอันตรายมาก