มูนฟิช ‘ปลาเลือดอุ่น’ ตัวแรกของโลก

มูนฟิช หรือแปลแบบไทยๆ ก็คือ ปลาพระจันทร์ มันเป็นปลาทีมีหน้าตาประหลาดมากที่สุดชนิดหนึ่ง จริงๆ ผมคิดอยู่ว่าเจ้านี่คล้ายปลาแสงอาทิตย์ หรือ ซันฟิช แต่ที่ประหลาดไม่ใช่แค่หน้าตาเท่านั้น เพราะมูนฟิชถือเป็นปลาเลือดอุ่นชนิดแรกของโลก และอาจเป็นชนิดเดียวในโลกเลยด้วยซ้ำ นอกจากนี้ยังมีความสามารถพิเศษที่ปลาอื่นไม่มีอีก แต่หากเทียบกับปลาแสงอาทิตย์ ดูมันมีชะตากรรมไม่ค่อยดีเท่าไร เดี๋ยวมาฟังเรื่องราวของปลาชนิดนี้กันดีกว่า

มูนฟิช

มูนฟิชคืออะไร?

Advertisements

มูนฟิช หรือ ปลาพระจันทร์ (Moon fish, Opah) มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Lampris guttatus (แลมปริส กัตทาตุส) เป็นปลาทะเลกระดูกแข็งขนาดใหญ่ชนิดหนึ่ง อยู่ในวงศ์ปลามูนฟิช (Lampridae) ซึ่งมีอยู่ประมาณ 6 ชนิด แต่บางแหล่งข้อมูลก็บอกมีเพียง 2 ชนิด

มูนฟิชเป็นปลาที่มีรูปร่างกลม แบนข้างมาก ตามผิวหนังจะมีจุดกลมสีขาวที่เมื่อสะท้อนกับแสง จะมีความแวววาวดุจแสงจันทร์ จึงเป็นที่มาของชื่อสามัญ ครีบทุกครีบเป็นสีแดงสด มีขนาดใหญ่สุดได้ถึง 2 เมตร และมีน้ำหนักกว่า 270 กิโลกรัม

แต่ขนาดโดยทั่วไปจะมีน้ำหนักประมาณ 40–80 กิโลกรัม เป็นปลาน้ำลึกที่อาศัยอยู่ที่ระดับ 300 – 1,500 เมตร พบในมหาสมุทรและทะเลเปิดเขตร้อนและกึ่งเขตร้อนทั่วโลก

การค้นพบปลาเลือดอุ่นชนิดแรกของโลก

ตามข้อมูลปลาชนิดนี้เป็น “ปลาเลือดอุ่นชนิดแรกของโลก” มันได้รับการยืนยันจากทีมนักวิทยาศาสตร์จากสำนักงานสมุทรศาสตร์และชั้นบรรยากาศแห่งชาติ (NOAA) พวกเขาได้ค้นพบว่ามูนฟิช เป็นปลาเลือดอุ่นสายพันธุ์แรกของโลก มันเหมือนกับสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมและสัตว์จำพวกนก

หากถามว่าเป็นปลาเลือดอุ่นแล้วมันดียังไง? ในฐานะปลา การที่เลือดอุ่นย่อมดีกว่าเลือดเย็น เพราะมันจะสามารถรักษาอุณภูมิของร่างกายได้ดีกว่า โดยปลาชนิดนี้จะรักษาอุณหภูมิของร่างกายให้อบอุ่นกว่าสภาพแวดล้อมในน้ำลึกประมาณ 5 องศาเซลเซียส

ตัวอย่างเช่น ถ้าน้ำเย็น 5 องศาเซลเซียส ร่างกายของปลาจะอยู่ที่ 10 องศาเซลเซียส ซึ่งช่วยทำให้สามารถว่ายลงไปได้ลึกกว่าปลาทั่วไปและอยู่ใต้ทะเลลึกได้นานกว่า

ที่ความลึกในสภาพเย็น มูนฟิชจะมีวิธีการพิเศษที่จะ “แลกเปลี่ยนความร้อน” โดยอาศัยกล้ามเนื้อพิเศษบริเวณอก ผ่านการโบกครีบอกด้วยความเร็วสูงอย่างต่อเนื่อง ความร้อนที่เกิดขึ้นจะคงอยู่ในร่างกายของมัน …แต่กระบวนการนี้มีมากกว่าที่เห็น

จากผลการวิจัยที่เคยถูกตีพิมพ์ลงในวารสารวิทยาศาสตร์ ระบุว่า เนื้อเยื่อในเหงือกของปลาจะนำเลือดแดง ซึ่งเป็นเลือดที่ยังไม่ใช้งาน ที่มีอุณหภูมิต่ำเข้าสู่ร่างกาย ไหลเวียนผ่านกล้ามเนื้อที่สร้างความร้อน จากนั้นเลือดที่ใช้งานแล้วซึ่งเป็นเลือดดำ จะนำความร้อนและคาร์บอนไดออกไซด์ จากร่างกายมาเข้าสู่กระบวนการแลกเปลี่ยนที่เหงือกอีกครั้ง

Advertisements

ผลที่ได้รับจากกระบวนการนี้คือ เลือดแดงชุดใหม่ที่จะกลับเข้าสู่ร่างกาย จะได้รับการถ่ายเทความร้อนจากเลือดดำที่ไหลเวียนออกมา ทำให้ความร้อนในร่างกายไม่หายไปไหน นักวิจัยเรียกกระบวนการนี้ว่าการแลกเปลี่ยนความร้อนแบบสวนทางกัน (Counter-current heat exchange)

ซึ่งโดยปกติแล้วจะมีปลาหรือสัตว์น้ำหลายชนิดที่ใช้วิธีการแลกเปลี่ยนแบบสวนทางกันได้ Counter-current exchange) แต่ถึงอย่างงั้นก็เป็นเพียงการแลกเปลี่ยนแก๊สเท่านั้น ไม่เหมือนกับมูนฟิชที่แลกเปลี่ยนความร้อนด้วย แถมมูนฟิชยังมีระบบไหลเวียนโลหิตแบบพิเศษ “Rete mirabile” ซึ่งจะไปเลี้ยงสมองและดวงตา มันจะช่วยดักจับความร้อนและเพิ่มอุณหภูมิบริเวณกระโหลกศีรษะให้สูงกว่าส่วนอื่นๆ ของร่างกาย

ความจริงก็คล้ายกับการทำงานของตู้เย็น แต่แทนที่จะดึงความร้อนออกจากตู้เย็น มันกลับดึงความเย็นออกจากตู้แทน และด้วยกระบวนการนี้มูนฟิชจึงรักษาความร้อนให้กับร่างกายได้ตลอดเวลา จึงไม่ต้องกลัวเรื่องแข็งตายเท่าไร

ความโชคไม่ดีของมูนฟิช

ซันฟิสได้ชื่อว่าปลาที่ดวงซวยที่สุดในโลก แต่อย่างน้อยมันก็ยังโชคดีที่ไม่อร่อย จึงไม่ตกเป็นเป้าหมายของมนุษย์ หากซันฟิชโดนจับโดยบังเอิญ มันก็จะโดนปล่อย แต่มูนฟิชดันเป็นปลาที่อร่อย

และเพราะมันเป็นปลาน้ำลึก พวกมันจะเคลื่อนที่ช้ามาก ด้วยความความเร็วสูงสุดที่ประมาณ 25 เซนติเมตรต่อวินาที หรือถ้าจำเป็นมันใช้ความเร็วแบบหนีตายก็จะว่ายได้เร็วขึ้นอีกประมาณ 5-10 เท่า แต่ก็ได้ไม่นาน จึงไม่แปลกที่มันจะโดนจับได้อย่างง่ายดาย

ปลาชนิดนี้ถูกระบุว่า เป็นปลาที่มีเนื้อแน่นสีแดงสด มีรสชาติอร่อย อุดมด้วยคุณค่าทางอาหาร มีทั้ง โอเมกา 3, โปรตีน, ไนอาซิน, วิตามินบี 6, วิตามินบี 12 แต่มีโซเดียมต่ำ

แต่ปลาทั้งตัวจะมีส่วนที่รับประทานได้เพียงร้อยละ 35 เท่านั้น ที่เหลือจะเป็นส่วนเนื้อที่แข็งและก้าง แต่ถึงอย่างงั้นก็ยังเป็นเป้าหมายของมนุษย์อยู่ดี …สุดท้ายสถานะการอนุรักษ์ของมูนฟิชคือไม่เคยได้รับการประเมิน จึงไม่ได้รับการคุ้มครองทางกฎหมายส่วนใหญ่

อ่านเรื่องอื่น

Advertisements
Advertisements