ประวัติอันยาวนานกว่าทศวรรษของการสำรวจถ้ำที่ลึกที่สุดในโลก
ถ้ำเวียร์ยอฟกินา ถูกค้นพบครั้งแรกในปี 1968 โดยนักสำรวจถ้ำชาวโซเวียต โดยพวกเขาสำรวจส่วนที่ลึกเพียง 115 เมตร และยังไม่ทราบถึงขนาดที่แท้จริงของถ้ำแห่งนี้
จนในปี 1983 คณะสำรวจที่นำโดย Oleg Parfenov ได้ปีนลงไปข้างล่างซึ่งตอนหลังพบว่าเป็นส่วนใหม่ของถ้ำ จึงได้บันทึกความลึกใหม่ไว้ที่ 440 เมตร ต่อมาในช่วงปี 2000 ได้มีการสำรวจใหม่อีกครั้ง จัดโดยองค์ Perovo Speleo และ Sepleoclub Perovo ที่ตั้งอยู่ในกรุงมอสโก ประเทศรัสเซีย
แต่มันไม่ใช่งานง่ายๆ ยิ่งพวกเขาลงไปลึกเท่าไรก็ต้องใช้เวลามากขึ้นในการนำสิ่งที่พวกเขาขุดกลับขึ้นมา และยังมีความเสี่ยงเรื่องถ้ำถล่มอีกด้วย
หลังจากการสำรวจเล็กๆ พวกเขาก็ได้เข้าไปในส่วนใหม่ของถ้ำที่มีความลึกมากกว่า 1,000 เมตร โดยมันเป็นแรงบันดาลใจให้นักสำรวจชาวรัสเซียทำการสำรวจต่อไป พวกเขาเริ่มสำรวจทุกๆ สองถึงสามเดือน ในที่สุดพวกเขาก็ไปถึงจุดที่ลึกที่สุดของถ้ำจึงพบว่ามันเป็นถ้ำที่ลึกที่สุดในโลก
เนื่องจากถ้ำแห่งนี้ลึกและอันตรายมาก มันจึงมีจุดพักแรมตลอดทาง นักสำรวจต้องใช้เวลามากกว่า 4 วันในการลงจากปากถ้ำจนถึงก้นถ้ำที่มีความลึก 2,212 เมตร และใช้เวลาพอๆ กันในการกลับขึ้นมา
ดังนั้นทีมสำรวจต้องใช้เวลาอย่างน้อยหนึ่งสัปดาห์ในถ้ำ ในสภาพแวดล้อมที่มืดมิดตลอด มันมีผลต่อระบบเวลาชีวิตของมนุษย์ ทำให้พวกเขาต้องทำงานในเวลากลางคืนและนอนหลับในช่วงกลางวัน แต่ยังมีการเชื่อมโยงการสื่อสารกับข้างบนทำให้พวกเขาสามารถติดต่อกับทีมงานภายนอกได้
การจะลงไปในถ้ำพวกเขายังต้องไต่เชือกหลายร้อยเมตร และคลานผ่านแหล่งโคลนในถ้ำที่เต็มไปด้วยน้ำ และเมื่อถึงความลึกที่ 800 เมตร จะเจอกับแหล่งน้ำใต้ดินขนาดเล็ก และมีความชื้นมากถึง 100% แถมด้วยอุณหภูมิเพียง 4 – 7 องศา
ระหว่างทางพวกเข้ายังเก็บตัวอย่างของกุ้งและแมงป่องในถ้ำ นับว่าน่าแปลกใจมากที่มีสิ่งมีชีวิตในที่ลึกขนาดนี้ และยังพบซากฟอสซิลอีกด้วย ซึ่งอาจจะให้ข้อมูลของถ้ำแห่งนี้เมื่อหลายล้านปีก่อน
การเสียชีวิตของวีรบุรุษแห่งถ้ำ
Pavel Demidov หัวหน้าคณะสำรวจที่ถือเป็นคนกลุ่มแรกๆ ที่ไปถึง “ราวกับคุณได้ไปสำรวจด้านมืดของดวงจันทร์” – เขาได้อธิบายถึงสภาพแวดล้อมของถ้ำที่เหมือนอีกโลก
Demidov เสียชีวิตเมื่อวันที่ 23 สิงหาคม 2020 ในเขตอับคาเซีย ในขณะลงไปสำรวจในถ้ำที่ยังไม่ได้สำรวจ ซึ่งไม่ห่างจากถ้ำเวียร์ยอฟกินา เขาเสียชีวิตจากก้อนหินขนาดใหญ่ที่ตกใส่ที่ความลึก 305 เมตร ..การเสียชีวิตอันน่าเศร้าของ Demidov แสดงให้เห็นถึงความเสี่ยงของนักสำรวจถ้ำที่ต้องเจอ
ก่อนนี้ในปี 2018 ทีมสำรวจของ Demidov รวมถึง Petr Lyubimov, Konstantin Zverev, Andrey Shuvalov, Evgeniy Rybka และ Andrey Zyznikov รวมถึงช่างภาพ National Geographic Robbie Shone และ Jeff Wade เกือบเอาชีวิตไม่รอดหลังจากถ้ำถูกน้ำท่วมทำให้น้ำสูงขึ้นกระทันหัน
แม้จะเจอกับสภาพแวดล้อมที่อันตราย นักสำรวจยังคงสำรวจถ้ำเวียร์ยอฟกินาและถ้ำอื่นๆ ในเขตนั้น สำหรับการหาซากฟอสซิลและสิ่งมีชีวิตในถ้ำ ซึ่งมันอาจจะมีสิ่งที่เป็นประโยชน์ในการพัฒนาเช่นยาต่างๆ
ถ้ำที่ลึกที่สุดสี่แห่งที่พบในละแวกนี้นอกจากเวียร์ยอฟกินา ยังมีถ้ำครูเบรา (Kurbera-Voronja) 2,199 เมตร ถ้ำซาม่า (Sarma) 1,830 เมตร และถ้ำเซนซาย่า (Snezhnaja) 1,760 เมตร ซึ่งมันไม่ใช่เรื่องบังเอิญที่ถ้ำพวกนี้จะอยู่ในละแวกเดียวกัน ถ้ำพวกนี้มีภูมิประเทศที่ขรุขระ อยู่ในจุดที่มีความสูงมากและยังเต็มไปด้วยหินปูน
ยังมีสิ่งมหัศจรรย์อีกมากที่ซ่อนอยู่ใต้ดิน ยังรอการค้นพบ
นักวิทยาศาสตร์เชื่อว่ายังมีถ้ำที่ยังไม่สำรวจหรือค้นพบอีกนับหมื่นแห่งทั่วโลก และบางแห่งอาจลึกมากกว่าเวียร์ยอฟกินา ข้อจำกัดในการเข้าถึงส่วนใหญ่คือน้ำใต้ดินที่สามารถซึมเข้าในหินปูนซึ่งอาจจะทำให้ถ้ำถล่มได้ ซึ่งเราทราบจากหลุม Kola Superdeep Borehole ในยุคโซเวียตว่ามันยังสามารถลึกกว่านี้ได้อีก
หลุม Kola Superdeep Borehole เป็นหลุมที่ลึกที่สุดในโลก ตั้งแต่ปี 1970 จนถึง 1994 มันเจาะไปลึกถึง 12,262 เมตร นักธรณีวิทยาของโซเวียตพบว่าคงมีน้ำอยู่ที่ความลึก 6.9 กิโลเมตร ซึ่งลึกว่าพื้นถ้ำเวียร์ยอฟกินาหลายเท่า
หนึ่งในนักสำรวจคนหนึ่งเชื่อว่าถ้ำที่ลึกที่สุดในโลกคือถ้ำเชเว (Cheve Cave) ซึ่งเป็นสาขาย่อยแผ่ไปทั้วชั้นใต้ดินในภูมิภาคโออาซากาของเม็กซิโก ซึ่งจากการไหลของน้ำในถ้ำพบว่ามันอาจลึกถึง 2.57 กิโลเมตร และมันยังรอการสำรวจ
แต่อย่างไรก็ตาม ถ้ำที่ลึกมากๆ อาจเข้าทางพื้นดินไม่ได้และจำเป็นต้องขุดเจาะถ้ำเพื่อเข้าไปได้ โดยนักวิทยาศาสตร์สามารถค้นหาได้ แต่การเจาะทำได้แค่ในระดับตื้นเท่านั้น แต่การพัฒนาเพื่อเข้าสู้ถ้ำที่ลึกที่สุดในโลกนั้นก็คุ้มค่า
ถ้ำพวกนี้เต็มไปด้วยสิ่งมีชีวิตแปลกประหลาด โดยเฉพาะสัตว์ไม่มีกระดูกสันหลังและจุลินทรีย์หลายชนิด ทำให้นักวิทยาศาสตร์ค้นพบยาปฏิชีวนะชนิดใหม่และยาอื่นๆ นอกจากนี้มันยังเป็นแคปซูลกาลเวลาที่เก็บสิ่งต่างๆ ในอดีต ซึ่งทำให้เรารู้ถึงสภาพแวดล้อมที่ถูกแยกโดดเดี่ยวมานับล้านปีได้