จุดเริ่มต้นความนิยม และจุดต่ำสุดของทิเบตัน
ทิเบตัน มาสทิฟฟ์ (Tibetan Mastiff) เป็นหนึ่งในสายพันธุ์สุนัขโบราณที่มีถิ่นกำเนิดในเอเชียกลาง มันเป็นสุนัขตัวใหญ่และก็ดุร้าย โดยปกติพวกมันจะอาศัยอยู่ในทุ่งหญ้าบนเนินเขาอันกว้างใหญ่ มันเป็นสุนัขที่ชาวทิเบตเลี้ยงดูมาอย่างยาวนาน ถูกใช้งานในฐานะสุนัขเลี้ยงแกะ เป็นผู้พิทักษ์ครอบครัวและฝูงปศุสัตว์ …ทิเบตันเป็นสุนัขที่หนักได้ถึง 70 กิโลกรัม และเคยพบตัวใหญ่สุดหนัก 82 กิโลกรัม แต่ยิ่งตัวใหญ่ก็ยิ่งเลี้ยงยากเพราะค่าใช้จ่ายสูง
แม้ทิเบตันจะได้รับการเลี้ยงดูโดยชนพื้นเมืองมาอย่างยาวนาน แต่พวกมันเพิ่งได้รับความนิยมในฐานะสัตว์เลี้ยงในบ้าน กระแสของทิเบตันมาเริ่มต้นจริงๆ เมื่อช่วงปี ค.ศ. 1990 และในตอนนั้นเอง ฟาร์มเพาะพันธุ์สุนัขทิเบตันก็เริ่มผุดขึ้นมาเป็นดอกเห็ด โดยเฉพาะในประเทศจีนซึ่งถือว่าเป็นถิ่นกำเนิดของทิเบตัน
จนในช่วงกลางปี ค.ศ. 2010 ราคาของทิเบตัน ก็มาถึงจุดสูงสุด พวกมันมีราคาเฉลี่ยอยู่ที่ 200,000 ดอลลาร์สหรัฐ หรือประมาณ 7 ล้านบาทต่อตัว ถ้าตัวสวยฟาร์มดังก็จะแพงขึ้นไปอีก ในตอนนั้นหลายคนไม่ได้เลี้ยงเพราะความรัก แต่เป็นการเก็งกำไรอย่างแท้จริง
มีรายงานวิธีที่ฟาร์มบางแหล่ง เลี้ยงทิเบตันให้ตัวใหญ่และดูสมบูรณ์ พวกเขาจะให้อาหารทางสายยางด้วยของเหลวที่มีส่วนผสมจากชีสหรือสเตียรอยด์ บางรายถึงกับเสริมซิลิโคนให้กับทิเบตันให้มันดูแข็งแรงขึ้น และพวกเขายังผสมข้ามสายพันธุ์อีกด้วย
อย่างไรก็ตามการผสมข้ามสายพันธุ์ครั้งใหญ่ได้ก่อให้เกิดสุนัขคุณภาพต่ำจำนวนมาก และมันก็กลายเป็นสุนัขที่ไม่สามารถขายได้ สุดท้ายจึงล้นตลาด ราคาของทิเบตันก็ตกลงอย่างต่อเนื่อง จนในปี ค.ศ. 2012 ตลาดเก็งกำไรของทิเบตันก็ได้รับผลกระทบจากการชะลอตัวของเศรษฐกิจ และการรณรงค์ต่อต้านการทุจริตของจีน แถมหลายเมืองในประเทศจีนยังสังห้ามเลี้ยงพวกมันอีกด้วย
จนในปี ค.ศ. 2013 ฟองสบู่ของทิเบตันก็แตก ราคาของพวกมันดิ่งลง เป็นสัญญาณการล้มสลายของสายพันธุ์สุนัขที่แพงที่สุดในโลก สุนัขตัวใหญ่เริ่มขายไม่ออก และเมื่อผู้ซื้อหายไป ผู้เพาะพันธุ์ก็หายไปในไม่ช้า และผลที่ตามมาคือไม่มีเงินซื้อหาอาหารเลี้ยงสุนัขตัวใหญ่พวกนี้
จนในที่สุดก็มีทิเบตันนับพันตัวถูกปล่อยทิ้งหลังจากศูนย์เพาะพันธุ์ที่ปิดตัวลง และพวกยังถูกทิ้งโดยประชาชนที่ไม่ต้องการเลี้ยงพวกมันอีกด้วย โดยรวมแล้วก็นับไม่ถ้วน
หลายคนอาจสงสัยว่าทำไมต้องปล่อยทิ้ง นั้นเพราะผู้เลี้ยงส่วนใหญ่ไม่ได้เลี้ยงเพราะความรัก แต่เป็นการเก็งกำไร มีรายงานจาก nytime ระบุว่าค่าอาหารสำหรับเลี้ยงทิเบตันต่อตัวในจีนจะอยู่ที่ประมาณ 50 – 60 ดอลลาร์สหรัฐ หรือ 1,700 – 2,000 บาทต่อวัน และด้วยราคานี้ คงไม่มีใครเต็มใจที่จะจ่ายหากไม่รักสุนัขที่เลี้ยงจริงๆ
ในตอนนี้ทิเบตันหลายหมื่นตัวเป็นสุนัขที่ถูกทิ้งอยู่ในจีน โดยเฉพาะในเขตปกครองตนเองทิเบต พวกมันตัวใหญ่และอันตราย มันโจมตีผู้คนและขโมยปศุสัตว์ในพื้นที่ การจะเลี้ยงดูพวกมันจำเป็นต้องใช้เงินจำนวนมากเช่นกัน เพราะยังไงซะมันก็เป็นสุนัขตัวใหญ่มาก ตอนนี้ผู้ดูแลศูนย์พักพิงสัตว์ ก็ทำได้เพียงทำหมันพวกมันให้ได้มากที่สุด …และเลี้ยงดูพวกมันจนกว่าจะตายไปเอง
ส่วนทิเบตันที่ไม่ได้อยู่ในศูนย์พักพิงสัตว์ พวกมันจะเป็นสุนัขจรจัด ซึ่งกลายเป็นสัตว์ที่แพร่พันธุ์ได้รวดเร็วที่สุด ในบรรดาสัตว์กินเนื้อบนที่ราบสูงทิเบต เนื่องจากพวกมันอาศัยอยู่เป็นฝูง จึงกลายเป็นภัยคุกคามต่อสัตว์ป่าอื่น และเมื่อพวกมันถูกพบในเมืองก็อาจถูกไล่ตีจนถึงตายโดยเจ้าหน้าที่
นอกจากนี้ชาวบ้านในทิเบตยังเล่าว่า พวกเขาพบเห็นสุนัขชนิดนี้ไล่กัด หมี สุนัขจิ้งจอก กินไก่ที่เลี้ยงไว้ รวมถึงแกะ และทำร้ายมนุษย์บ่อยครั้ง และมันยังเป็นพาหะนำโรคอย่างโรคพิษสุนัข สุนัขทิเบตันยังนำเชื้อโรคบางชนิดมาสู่มนุษย์ เช่นโรคพยาธิไฮดาติด (Hydatid) ซึ่งเป็นการติดเชื้อในสุนัขที่เกิดจากตัวอ่อนของพยาธิตัวตืด ซึ่งจะแพร่กระจายผ่านการสัมผัสกับอาหารหรือน้ำและดิน
ทิเบตันไม่ใช่สุนัขที่ถูกเลี้ยงเพื่อเก็งกำไรหรือปั่นราคาชนิดแรกในจีน ก่อนหน้านั้นยังมี เยอรมันเชเพิร์ด ต่อด้วย โกลเด้นรีทรีฟเวอร์ ดัลเมเชียน แล้วก็ฮัสกี้ พวกมันทั้งหมดเคยราคาแพงมาก จนถูกเพาะพันธุ์จำนวนมากและสุดท้ายพวกมันหลายตัวก็ไปอยู่บนรถบรรทุกเนื้อ
ส่วนในประเทศไทยก็มีเรื่องคล้ายๆ กันหลายกรณี อย่างที่ปีใกล้ๆ หน่อยก็ กุ้งก้ามแดง หรือ กุ้งโกสที่ปั่นกันตัวเป็นล้าน หรือที่เพิ่งจบไปอย่างกล้วยด่างที่เอาโฉนดที่ดินมาซื้อโชว์กันไป ซึ่งผมคิดว่าบ้ามากๆ กล้วยนี่นะราคาเป็นล้าน กล้วยที่เพาะเนื้อเยื้อได้เนียน่ะ …ก็เห็นชัดๆ ว่าปั่นก็ยังมีคนเชียร์