ปลากระโทงดาบ ปลาที่กดสูตรโกงมาได้
ก่อนที่จะไปเรื่องตำนานพื้นเมือง ผมจะข้อแนะนำให้ทุกคนรู้จักกับปลาตัวนี้ก่อน และในเรื่องนี้ผมจะไม่เน้นวิชาการมากนะครับ…ถ้าจำไม่ผิดปลากระโทงดาบ (Swordfish) มันปลาที่พระเอกในหนังเรื่องเพอเฟคสตอม (the perfect storm) ออกเรือไปจับจนเต็มลำและสุดท้ายเรือก็จมเพาะพายุ ซึ่งเรื่องนี้บอกเลยว่าสนุก
แม้ว่าปลากระโทงดาบชนิดนี้จะหน้าตาคล้ายกระโทงดำ กระโทงร่ม แต่มันอยู่คนวงศ์กับปลากระโทงทั้งหมด และปลากระโทงดาบ ก็มีเพียงชนิดเดียวแต่มันก็มีชนิดย่อยแยกอีก ซึ่งมีทั้งที่อยู่ในเขตน้ำเย็นและน้ำอุ่น .. และมันเป็นหนึ่งในปลาว่ายน้ำเร็วที่สุดในโลกอีกด้วย ส่วนขีดจำกัดโดยสรุปของปลาชนิดนี้คือ
- ปลากระโทงดาบ ยาวได้ถึง 4 เมตร และหนักประมาณ 635 กิโลกรัม เป็นปลาที่มีความแข็งแรงมากเพราะเหงือกของมัน สามารถดูดซับออกซิเจนในครั้งหนึ่งมากกว่าปลาชนิดอื่น
- เป็นปลาที่สามารถอยู่ได้เกือบทุกระดับความลึก .. มันอยู่ได้ตั้งแต่ผิวน้ำจนถึง 1 พันเมตร
- ปลากระโทงดาบ มีความสามารถในการรักษาอุณหภูมิได้สูงกว่าบริเวณที่มันอยู่ได้ ทำให้สามารถเคลื่อนไหวได้อย่างคล่องตัวในน้ำที่เย็นจัด และมันก็สามารถรับมือการเปลี่ยนอุณหภูมิแบบกระทันหันได้ ถึงแม้ปลานักล่าขนาดใหญ่ชนิดอื่นๆ เช่นปลาทูน่ายักษ์หรือฉลาม จะมีร่างกายที่ทนต่ออุณหภูมิได้ดีกว่าปลากระโทงดาบ แต่พวกมันไม่สามารถดำน้ำได้รวดเร็วและยาวนานเหมือนปลากระโทงดาบ
- เป็นหนึ่งในสิบปลาที่เร็วที่สุดในโลก แม้ว่าความเร็วที่บันทึกไว้คือ 64 km/h แต่ความเร็วที่แท้จริงของมันยังไม่แน่ชัด เพราะปลาชนิดนี้ต่างจากปลากระโทงเกือบทั้งหมด ที่มันลงน้ำลึกระดับพันเมตรได้อย่างสบายๆ
- ปลากระโมงดาบสามารถสร้าง “จารบี” ขึ้นมาเคลือบบริเวณส่วนหัวจนถึงดาบของมันได้ มันมีต่อมพิเศษที่ใช้ผลิตน้ำมันที่มีความเข้มข้น ที่ไม่ใช่เมือกปลา ความจริงมันเกือบจะเป็นจารบี น้ำมันนี้ความลื่นมากและยังกันน้ำด้วย สิ่งนี้จะช่วยให้มันว่ายน้ำได้ดีขึ้นและช่วยให้มันแทงผ่านวัตถุต่างๆ ได้ง่ายขึ้น และนี่คือความลับที่ทำให้ดาบของมันน่ากลัวเป็นพิเศษ
วีรกรรมแทงเรือดำน้ำของปลากระโทงดาบ
เรื่องนี้เกิดขึ้นในวันที่ 6 กรกฎาคม ปี ค.ศ. 1967 เรือดำน้ำเพื่อการวิจัยทางทะเลที่ชื่อว่าอัลวิน “ALVIN” ได้ลงไปถึงก้นมหาสมุทร ที่ความลึก 2,000 ฟุต หรือประมาณ 600 เมตร
โดยภารกิจครั้งนี้คือการค้นหาตัวอย่างปะการังทะเลลึกขนาดใหญ่ แต่หลังจากนั้นไม่นานคนที่อยู่ข้างในก็ได้ยินเสียงดังแปลกๆ ข้างนอก “ชายคนหนึ่งที่อยู่ในเรือดำน้ำได้เล่าสิ่งที่เกิดขึ้นต่อไปว่า”
ตอนแรกฉันคิดว่าเป็นเสียงดังที่เกิดจากที่เรือดำน้ำลอย และขูดเข้ากับพื้นทะเล ในระหว่างนั้นคนขับเรือได้มองออกไปนอกช่องหน้าต่างทางกราบขวา เขาก็ร้องอุทานว่า “เราโดนปลา!” ที่จริงนอกช่องหน้าต่างของฉัน ก็เห็นปลาตัวใหญ่ และเห็นได้ชัดว่ามันพยายามดึงตัวเองออกจากเรือ ซึ่งมันพยายามอย่างหนักมากจริงๆ
เมื่อพวกเรารู้ว่าที่จริงแล้วมันเป็นปลากระทงดาบขนาดใหญ่ ที่ติดอยู่กับเรือดำน้ำ พวกเราจึงมีการประชุมทางโทรศัพท์หลายครั้ง และมีการทดสอบเพื่อดูว่าปลาได้ทำลายอุปกรณ์สำคัญใดๆ บนเรือหรือไม่ ต้องไม่ลืมว่าพวกเราอยู่ใต้มหาสมุทรลึก 600 เมตร โดยมีชายสองคนอยู่ข้างใน จากนั้นจึงตัดสินใจเลือกสิ่งที่ควรทำคือ “นำเรือขึ้นสู่ผิวน้ำ และเอาปลาดาบออกไปก่อน จากเรือจึงดำน้ำอีกครั้ง”
ทันทีที่เรือขึ้นสู่ผิวน้ำ พวกเราก็เข้าใจได้ว่าเกิดอะไรขึ้นบ้างที่ใต้น้ำ ปลากระโทงดาบขนาด 2.4 เมตร หนักประมาณ 90 กิโลกรัม มันน่าจะนอนอยู่ที่ก้นมหาสมุทร และรู้สึกตกใจแสงของเรืออัลวิน แน่นอนว่ามันไม่ใช่ปลาขี้ขลาด มันจึงเลือกที่จะโจมตีอย่างรุนแรงทันที
เป็นเรื่องที่น่าเสียใจ ที่ปลากระทงดาบตัวนี้ต้องตายไป แต่มันก็ถูกนำไปเป็นอาหารให้กับลูกเรือทั้งหมดในวันรุ่งขึ้น และนี้คือเรื่องราวการโจมตีเรือดำน้ำของปลากระทงดาบ ..แต่จริงๆ แล้วปลาชนิดนี้ยังมีเหตุการณ์โจมตีเรือดำน้ำหรือนักดำอีกหลายครั้ง ดุจริงๆ …เดี๋ยวมาฟังเรื่องราวของตำนานพื้นเมืองของสิงคโปร์กันต่อ
ตำนานพื้นบ้าน ‘สิงคโปร์’ การต่อสู้ของมนุษย์และปลากระโทงดาบ
ปลากระโมงดาบขึ้นชื่อว่าเป็นปลาที่ดุร้าย แต่มีสิ่งหนึ่งที่เกิดขึ้นในประเทศสิงคโปร์ มันเป็นการเล่าเรื่องผ่านนิทานพื้นบ้านที่ชื่อว่า สวอสฟิช แอคแทค โซลเจอร์ “Swordfish Attack Soldiers” แต่นี่ไม่ใช่นิทานธรรมดา เพราะนิทานนี้มันได้อ้างอิงการกำเนิดสถานที่สำคัญของสิงคโปร์ แถมยังมีพิธีกรรมที่สืบทอด และมีประติมากรรม ที่บอกเล่าเรื่องราวนี้อีกด้วย ส่วนผมเห็นว่าน่าสนใจดี ก็เลยแปลมาอ่านเป็นความรู้เสริมและจะได้รู้ว่าแบบนี้ก็มี
เริ่มต้นที่สิงกะปุระ ก่อนจะเป็นสิงคโปร์ในปัจจุบัน เมื่อนานมาแล้วมีคนเล่าว่า “ปลากระโทงดาบ” ได้เริ่มโจมตีเกาะสิงกะปุระ ในขณะที่ชาวประมงออกทะเล พวกเขา ก็มักจะถูกปลากระโทงดาบโจมตี พวกมันแทงที่ศีรษะ หน้าอก และท้อง
จนทำให้ผู้คนต่างหวาดกลัวปลากระโทงดาบอย่างมาก และแม้แต่ผู้คนที่อยู่ชายฝั่ง ก็ยังไม่สามารถรอดจากการโจมตีของปลาพวกนี้ได้ พวกมันกระโจนออกจากคลื่น และทุกคนที่ถูกโจมตีก็เสียชีวิต
เมื่อราชาแห่งสิงกะปุระทราบเรื่อง จึงได้เดินทางไปดูและได้พบโศกนาฏกรรมจากการโจมตีของปลากระโทงดาบ เขาเห็นผู้ตายถูกปกคลุมไปด้วยเลือด และญาติพี่น้องของพวกเขาก็โยกตัวไปมา ร่ำไห้ด้วยความโศกเศร้า
เมื่อเห็นดังนั้น! ราชาจึงสั่งให้ทหารยืนเคียงข้างกัน เพื่อให้เป็นเหมือนกำแพงที่มีโล่ของพวกทหารคอยปกป้อง แต่แล้วเรื่องราวกับไม่ต่างจากเดิม เพราะทหารทั้งหมดกับถูกปลาโจมตีอย่างหนัก และได้เสียชีวิตลงไม่ต่างอะไรจากชาวบ้านเลย ..ดูเหมือนจะไม่มีใครรู้ว่าต้องทำอย่างไร!
เด็กชายตัวเล็กๆ ที่เฝ้าดูเหตุการณ์ ไม่สามารถทนเห็นคนตายมากไปกว่านี้ เขาจึงเริ่มใช้ความคิดอย่างหนัก และในที่สุดเขาก็คิดวิธีแก้ไขได้ ก่อนที่จะกล่าวว่า
“ท่านราชา! ทำไมเราไม่สร้างกำแพงกั้นด้วยลำต้นของกล้วยแทนล่ะ? เมื่อปลากระโทงดาบโจมตีเข้ามา ปลายดาบของพวกมันจะติดอยู่ในลำต้นและเราจะรอดตาย”
ชาวบ้านทุกคนรวมทั้งราชาต่างรู้สึกประทับใจ ปนประหลาดใจที่ได้เห็นแนวคิดนี้มาจากเด็กหนุ่ม ซึ่งเป็นเด็กกำพร้าที่อาศัยอยู่กับย่าของเขา
ราชาจึงสั่งให้คนของเขาสร้างรั้วต้นกล้วยริมฝั่งทะเลตามที่เด็กชายแนะนำ และเป็นอีกครั้งที่ปลากระโทงดาบโจมตี ในขณะที่ชาวบ้านรอดูว่าจะเกิดอะไรขึ้นต่อจากนี้
“ดูปลากระโทงดาบติดอยู่ที่ลำต้นสิ! พวกเรารอดแล้ว!” ชาวบ้านต่างชื่นชมและยินดี เมื่อเหตุการณ์ผ่านไป พวกเขาจึงได้จัดงานเลี้ยงใหญ่เพื่อเฉลิมฉลองให้กับความสำเร็จของฮีโร่ตัวน้อยของพวกเขา!
อย่างไรก็ตาม ในไม่ช้าราชาก็เริ่มกังวลว่าเด็กชายที่ฉลาดจนเกินไป เขาคิดว่าเด็กจะเติบโตเป็นคนที่ฉลาดมาก และกลายเป็นภัยคุกคามเขา “แผนการชั่วร้ายจึงเริ่มก่อตัวขึ้นในใจของราชา”
ในคืนหนึ่งคนของราชา แอบเข้าไปที่บ้านของเด็กชายที่อยู่บนเนินเขา แต่ย่าของเด็กชายได้ยินการมาของพวกเขา แม้เธอจะแก่แต่ก็ฉลาดและรู้ว่าต้องทำยังไง
ย่าของเด็กชาย เผชิญหน้ากับคนของราชาอย่างกล้าหาญ จากนั้นเธอก็กล่าวว่า “สิ่งนี้จะเตือนคุณ ถึงการทรยศของคุณ!” เธอพูดในขณะที่เธอโบกมือ จากนั้นเด็กชายก็หายตัวไป และทำให้คนของราชาประหลาดใจ เพราะที่ตรงนั้นได้เกิดสิ่งที่ดูเหมือนเลือดไหลออกมาจากจุดที่กระท่อมของเด็กชายตั้งอยู่ จนเนินเขาเปลี่ยนเป็นสีแดง
และจนถึงทุกวันนี้ไม่มีใครพบเห็นเด็กชายคนนั้นอีกเลย และตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นมา ดินในบริเวณนั้นก็ถูกย้อมเป็นสีแดงจนได้รับชื่อว่า บูกิตเมราห์ (Bukit Merah) หรือเรดฮิลล์ (Red Hill)
และนี่ก็คือการบอกเล่าผ่านนิทาน การต่อสู้ของมนุษย์และปลากระโทงดาบ ซึ่งผมเองก็ไม่แน่ใจว่าเรื่องนี้จะสอนให้รู้ว่าอะไร? เรื่องฉลาดเกินไปก็ไม่ดี หรือ ทำดีอาจไม่ได้ดี แล้วย่าแม่มดเหรอไง? หรือจะเป็นจะบอกให้รู้ปลากระโทงดาบมันโหดนะ แต่ที่แน่ๆ ผมว่าสมัยก่อนปลากระโทงดาบแถวนั้นต้องเยอะมากๆ แน่ หรือคิดว่ายังไงกัน?