แหล่งจับปลาบึกที่มีชื่อเสียงมากที่สุด
อำเภอเชียงของ จังหวัดเชียงราย มีชื่อเสียงทางด้านการจับปลาบึกมาตั้งแต่สมัยโบราณ โดยการจับปลาบึกของที่นี้เป็นประเพณีเลยก็ว่าได้ ชาวประมงจะเริ่มจับปลาบึกในแม่น้ำโขงกันในช่วงเดือน เมษายน จนถึงเดือน พฤษภาคม ซึ่งเป็นช่วงที่ปลาบึกจะว่ายขึ้นเหนือเพื่อวางไข่
แต่! ก่อนจะมีการจับปลาบึก พวกเขาจะต้องทำพิธีบวงสรวงเจ้าพ่อปลาบึก ซึ่งจะทำพิธีในวันที่ 18 เมษายน ของทุกปี! หลังจากนั้นจึงจะเริ่มจับปลาบึกได้ โดยเครื่องมือการจับปลาบึกของที่นี่จะเรียกว่า “มอง” มันเป็นอวนขนาดใหญ่ ที่ปกติจะวางได้ลึก 3 เมตร และยาว 200 – 300 เมตร
แต่ก่อนที่จะมี “มอง” ที่เป็นเครื่องมือจับปลาบึกขนาดใหญ่ พรานปลาบึกสมัยก่อนโน่นจะใช้สิ่งที่เรียกว่า “กวัก” มันเป็นเครื่องมือจับปลาที่มีรูปร่างคล้ายถุงขนาดใหญ่ มีเส้นผ่าศูนย์กลางประมาณ 3 เมตร ยาว 5 เมตร ด้วยเหตุนี้ กวักจึงเล็กกว่ามองมาก จากจับปลาบึกในสมัยนั้นจึงยากมากๆ
เพราะการใช้กวักต้องอาศัยความสามารถที่น่าทึ่ง บวกกับความอดทนเป็นยอด พรานปลาต้องเฝ้าสังเกตฟองคลื่นที่ผิวน้ำทั้งวันทั้งคืน จึงจะจับปลาบึกได้ จนถึงกับมีการตั้งสมญานามให้พรานปลาระดับนี้มี “เสือตาไฟ” ก่อนที่จะพัฒนา “มอง” ที่เป็นเครื่องมือขนาดใหญ่ขึ้นมา!
ปลาบึกเป็นปลาที่อยู่ในจุดที่พูดได้ว่า “ใกล้สูญพันธุ์ (EN)” มาตั้งแต่ปี พ.ศ. 2526 (1983) หรือเมื่อประมาณ 40 ปีก่อน ในปีนั้นมีรายงานการจับปลาบึกได้เพียง 2 ตัว! และในปีนี้เองที่กรมประมงประสบความสำเร็จในการเพาะพันธุ์ปลาบึกเป็นครั้งแรกของโลก! โดยใช้พ่อแม่พันธุ์ที่จับได้จากแม่น้ำโขงในเขตอำเภอเชียงของ …แต่ลูกปลาที่รอดชีวิตก็แค่หลักสิบตัวเท่านั้น
แหล่งแพร่พันธุ์ปลาบึกแห่งแรกของโลก อ.เชียงของ จ.เชียงราย The first place in the world reproduction of Giant Catfish.” …หากไม่มีป้ายประกาศพร้อมรูปปั้น “ปลาบึก” ที่ลานหน้าวัดหาดไคร้ ก็แทบไม่มีสิ่งใดบ่งบอกว่า หมู่บ้านริมฝั่งโขงแห่งนี้ คือถิ่นฐานของพรานปลาบึกผู้เก่งฉกาจ ที่แค่มองดูฟองคลื่นที่ผิวน้ำ ก็รู้ว่าเป็นปลาอะไร รู้แม้แต่เพศใด และแม้พวกเขาจะจับปลาบึกได้เก่งมาก แต่หากดูจากสถิติต่อไปนี้ จะรู้ว่าปลาบึกจับได้ยากขนาดไหน!
สถิติการจับปลาบึกมาจากสถานีประมงน้ำจืดจังหวัดเชียงราย ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2526 – 2548
- ปี พ.ศ. 2526 (1983) ปลาบึกตัวผู้ 1 ตัว / ตัวเมีย 1 ตัว รวม 2 ตัว
- ปี พ.ศ. 2527 (1984) ปลาบึกตัวผู้ 9 ตัว / ตัวเมีย 6 ตัว รวม 15 ตัว
- ปี พ.ศ. 2528 (1985) ปลาบึกตัวผู้ 14 ตัว / ตัวเมีย 3 ตัว รวม 17 ตัว
- ปี พ.ศ. 2529 (1986) ปลาบึกตัวผู้ 4 ตัว / ตัวเมีย 1 ตัว รวม 5 ตัว
- ปี พ.ศ. 2530 (1987) ปลาบึกตัวผู้ 22 ตัว / ตัวเมีย 2 ตัว รวม 24
- ปี พ.ศ. 2531 (1988) ปลาบึกตัวผู้ 27 ตัว / ตัวเมีย 25 ตัว รวม 52
- ปี พ.ศ. 2532 (1989) ปลาบึกตัวผู้ 39 ตัว / ตัวเมีย 22 ตัว รวม 61 (จับได้ที่ฝั่งลาว 1 ตัว)
- ปี พ.ศ. 2533 (1990) ปลาบึกตัวผู้ 35 ตัว / ตัวเมีย 30 ตัว รวม 65 (จับได้ที่ฝั่งลาว 11 ตัว)
- ปี พ.ศ. 2534 (1991) ปลาบึกตัวผู้ 14 ตัว / ตัวเมีย 19 ตัว รวม 38 (จับได้ที่ฝั่งลาว 8 ตัว)
- ปี พ.ศ. 2535 (1992) ปลาบึกตัวผู้ 14 ตัว / ตัวเมีย 8 ตัว รวม 22
- ปี พ.ศ. 2536 (1993) ปลาบึกตัวผู้ 27 ตัว / ตัวเมีย 21 ตัว รวม 48 (จับได้ที่ฝั่งลาว 18 ตัว)
- ปี พ.ศ. 2537 (1994) ปลาบึกตัวผู้ 10 ตัว / ตัวเมีย 8 ตัว รวม 18 (จับได้ที่ฝั่งลาว 3 ตัว)
- ปี พ.ศ. 2538 (1995) ปลาบึกตัวผู้ 10 ตัว / ตัวเมีย 6 ตัว รวม 16 (จับได้ที่ฝั่งลาว 5 ตัว)
- ปี พ.ศ. 2539 (1996) ปลาบึกตัวผู้ 5 ตัว / ตัวเมีย 2 ตัว รวม 7
- ปี พ.ศ. 2540 (1997) ปลาบึกตัวผู้ 3 ตัว / ตัวเมีย 2 ตัว รวม 5 (จับได้ที่ฝั่งลาว 4 ตัว)
- ปี พ.ศ. 2541 (1998) ปลาบึกตัวผู้ 1 ตัว / ตัวเมีย 0 ตัว รวม 1
- ปี พ.ศ. 2542 (1999) ปลาบึกตัวผู้ 4 ตัว / ตัวเมีย 11 ตัว และไม่มีข้อมูลอีก 5 ตัว รวม 20 (จับได้ที่ฝั่งลาว 5 ตัว)
- ปี พ.ศ. 2543 (2000) ปลาบึกตัวผู้ 1 ตัว / ตัวเมีย 1 ตัว รวม 2
- ปี พ.ศ. 2544 (2001) – พ.ศ. 2546 (2003) จับไม่ได้แม้แต่ตัวเดียว
- ปี พ.ศ. 2547 (2004) ปลาบึกตัวผู้ 4 ตัว / ตัวเมีย 3 ตัว รวม 7
- ปี พ.ศ. 2548 (2005) ปลาบึกตัวผู้ 4 ตัว / ตัวเมีย 3 ตัว รวม 7 (จับได้ที่ฝั่งลาว 4 ตัว)
หากดูจากสถิติตั้งแต่ปี พ.ศ. 2526 – 2548 มีปลาบึกที่ถูกจับจำนวนรวม 424 ตัว และมีสถิติที่น่าสนใจอยู่อีกอย่างหนึ่งคือ มีรายงานเกี่ยวกับลูกปลาบึก ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2526 – 2548 เอาไว้ด้วย ซึ่งมีจำนวนรวม 3,319,780 ตัว ซึ่งเป็นลูกปลาบึกความยาว 12.5 – 17.5 เซนติเมตร แต่น่าเสียดายที่ไม่มีการระบุเอาไว้ชัดว่า เป็นปลาบึกจากการเพาะเลี้ยง หรือจากธรรมชาติแท้ๆ
แต่หากมองจากไทม์ไลน์ การเพาะพันธุ์ปลาบึกโดยกรมประมงจนประสบความสำเร็จและมีลูกปลาเพียงพอที่จะปล่อยลงสู่ธรรมชาติ คือปี พ.ศ. 2544 (2001) และตั้งแต่ปี พ.ศ. 2544 (2000) จนถึง ปี พ.ศ. 2546 (2003) นอกจากจะจับปลาบึกตัวใหญ่ไม่ได้แล้ว ยังไม่มีรายงานการจับลูกปลาบึกได้แม้แต่ตัวเดียว
ด้วยเหตุนี้จึงอนุมานได้ว่า ลูกปลากว่า 3 ล้านตัว ที่ถูกจับได้ระหว่างปี พ.ศ. 2526 – 2543 เป็นลูกปลาบึกธรรมชาติ และข้อมูลที่เคยมีคนบอกว่า ที่ผ่านมาไม่เคยจับลูกปลาบึกได้ในเขตไทยเลย …จึงไม่เป็นความจริงเช่นกัน
จนปี พ.ศ. 2544 (2001) ก็มีรายงานการจับลูกปลาได้อีก แต่ก็เพียงไม่กี่พันตัวเท่านั้น และตั้งแต่นั้นมา จำนวนปลาบึกก็เพิ่มขึ้นมาอย่างต่อเนื่อง จนดูเหมือนอนาคตจะสดใจ …แต่มันไม่ง่ายอย่างงั้น
บทสรุปก่อนจาก!
ตามบันทึก เมื่อปี พ.ศ. 2533 มีการจับปลาบึกที่มีน้ำหนักเฉลี่ยเกิน 200 กิโลกรัมได้มากถึง 69 ตัว แต่! ถึงอย่างงั้นความเป็นอยู่ของปลาบึกในแม่น้ำโขงกลับแย่ลง เนื่องมาจากสารพันปัญหาที่รุมเร้า ตั้งแต่การสร้างเขื่อนกั้นแม่น้ำโขงในประเทศจีน การระเบิดแก่งหินกลางลำน้ำโขงตอนบน ทั้งนี้ก็เพื่อการเดินเรือเชิงพาณิชย์
นอกจากนี้ยังมีการสร้างค่านิยมผิดๆ ที่ว่าการกินเนื้อปลาบึกแล้วอายุจะยืน สติปัญญาจะเฉียบแหลม เพราะเป็นปลาเทพเจ้า สิ่งเหล่านี้ล้วนส่งผลไปถึงปลาบึก ซึ่งเป็นปลาขนาดใหญ่ที่อ่อนไหวต่อการเปลี่ยนแปลงของระบบนิเวศ
และเพราะแบบนี้ สถิติการจับปลาบึก 69 ตัว เมื่อปี พ.ศ. 2533 ก็เหลือเพียง 5 ตัว ในปี พ.ศ. 2540 จน IUCN ขึ้นทะเบียนปลาบึกในบัญชีแดง หรือชนิดพันธุ์สัตว์ที่ใกล้สูญพันธุ์ (Endangered) จากนั้นเพียงไม่กี่ปี สถานะปลาบึกยิ่งเลวร้ายลง เมื่อถูกเลื่อนขั้นให้ยิ่งแดงเข้มไปอีก ซึ่งก็คือใกล้สูญพันธุ์ขั้นวิกฤติ!
ปัจจุบันแม้จะยุติการล่าปลาบึกในแม่น้ำโขงไปแล้ว แต่ก็ยังมีการจัดพิธีบวงสรวงเจ้าพ่อปลาบึกกันอยู่ ซึ่งจัดที่ ลานหน้าวัดหาดไคร้ ในวันที่ 18 เมษายนของทุกปี โดยมีความเชื่อว่าพิธีนี้จะบันดาลความร่มเย็นเป็นสุขให้
แต่ก็มีเรื่องที่น่าเสียดาย เพราะในวันนี้หากใครไปเยือนหาดไคร้ไม่ตรงกับวันที่ 18 เมษายน ก็แทบจะไม่รู้เรื่องปลาบึก เพราะไม่มีพิพิธภัณฑ์จัดแสดงหรือแหล่งรวบรวมองค์ความรู้ดีๆ เอาไว้ ส่วนพิพิธภัณฑ์ปลาบึกอาคารหรูๆ ริมฝั่งโขง ก็ไม่ค่อยมีอะไร ในขณะที่พรานปลาบึกระดับ “เสือตาไฟ” ก็ค่อยๆ ร่วงโรยและอำลาจากโลกนี้ไปอย่างเงียบเชียบ