มนุษย์เริ่มล่านกพิราบนักเดินทางในช่วงศตวรรษที่ 19 และในปี 1914 พวกมันก็ ‘สูญพันธุ์’ ตามรายงานของนิตยสาร Audubon นกเหล่านี้เป็นตัวอย่างที่สำคัญของความรวดเร็วและมีประสิทธิภาพ ที่มนุษย์สามารถกำจัดแม้กระทั่งสายพันธุ์ทั่วไป แต่มันเป็นเพียงเราหรือสัตว์ที่ไม่ใช่มนุษย์สามารถขับไล่สัตว์อื่นให้สูญพันธุ์ได้หรือไม่?
เรื่องนี้เป็นไปได้แต่มนุษย์มักมีส่วนร่วมด้วยเสมอ สัตว์บางชนิดสามารถทำลายล้างข้ามสายพันธุ์ได้หากมนุษย์วางพวกมันไว้ผิดที่ และพวกมันจะกลายเป็นผู้รุกราน ซึ่งเป็นสายพันธุ์ที่สร้างความเสียหายทางนิเวศวิทยาหรือทางเศรษฐกิจต่อสภาพแวดล้อมที่ไม่ใช่ของพวกมัน
ตัวอย่างเช่น งูหลามพม่า (Python bivittatus) ที่มาจากเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ พวกมัยกำลังกลืนกินทุกอย่างที่เคลื่อนไหวในบึงเอเวอร์เกลดส์ แม้แต่อัลลิเกเตอร์ขนาดเล็กก็ถูกพวกมันกิน ประชากรงูหลามเริ่มต้นจากการถูกปล่อยและหลบหนีจากที่เลี้ยงตามรายงานของพิพิธภัณฑ์ประวัติศาสตร์ธรรมชาติฟลอริดา
สายพันธุ์ที่ไม่สามารถรับรู้หรือตอบสนองอย่างเหมาะสม กับสายพันธุ์ใหม่ในสภาพแวดล้อมของพวกมันเรียกว่า “ไร้เดียงสา” หรือกล่าวได้ว่าต้องทนทุกข์ทรมานจากความไร้เดียงสาทางนิเวศวิทยา ไม่ใช่ความผิดของพวกมัน สัตว์เหล่านี้ไม่ได้วิวัฒนาการเพื่อหนีหรือป้องกันตัวเองจากสายพันธุ์รุกราน และการวิวัฒนาการก็ไม่ได้ผุดขึ้นมาในชั่วข้ามคืน
“วิธีหลักที่สายพันธุ์รุกรานกวาดล้างสิ่งมีชีวิตท้องถิ่นคือการล่า ดังนั้นผู้ล่าจึงไปยังพื้นที่ที่ไม่เคยมีผู้ล่าอื่นมาก่อน หรือประเภทของผู้ล่าที่อยู่ที่นั่นมีความแตกต่างกัน” Tim Blackburn ศาสตราจารย์ด้านชีววิทยาการบุกรุกที่มหาวิทยาลัย College London ในสหราชอาณาจักรบอกกับ Live Science “นั่นทำให้พวกมันมีข้อได้เปรียบในการล่าสัตว์ท้องถิ่นเป็นอาหาร”
มนุษย์มีส่วนอย่างมากในการเคลื่อนย้ายนักล่าอย่างแมวและงูยักษ์ไปทั่วโลก แต่เมื่อสัตว์ต่างๆ อพยพไปยังพื้นที่ใหม่ในธรรมชาติล่ะ? ตามคำกล่าวของ Blackburn สัตว์ต่างๆ มักจะแยกย้ายกันไปโดยธรรมชาติ ไปยังพื้นที่ใกล้เคียง ซึ่งโดยทั่วไปแล้วชนิดของสปีชีส์จะคล้ายคลึงกัน ดังนั้นจึงตอบสนองอย่างเหมาะสมต่อกันและกัน ดังนั้นจึงมักไม่มีการจับคู่ที่ไม่เป็นธรรม
ความหลากหลายของสัตว์ที่ย้ายจากอเมริกาเหนือไปยังอเมริกาใต้นั้นสูงกว่า ดังนั้นอเมริกาใต้จึงมีผู้อยู่อาศัยใหม่เพิ่มขึ้น ผลการศึกษาในปี 2020 ที่ตีพิมพ์ในวารสาร Proceedings of the National Academy of Sciences เสนอว่าสิ่งนี้เกิดจากการที่สัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมในอเมริกาใต้ มีอัตราการสูญพันธุ์ที่สูงขึ้นอย่างไม่เป็นสัดส่วน กล่าวอีกนัยหนึ่ง สปีชีส์ในอเมริกาใต้จำนวนมากขึ้นได้สูญพันธุ์ไปในระหว่างการอพยพ และน้อยชนิดที่สามารถตั้งอาณานิคมในอเมริกาเหนือได้
“บางทีสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมพื้นเมืองในอเมริกาใต้อาจอ่อนไหวต่อสัตว์กินเนื้อชนิดใหม่” Juan Carrillo นักบรรพชีวินวิทยาจากมหาวิทยาลัยฟรีบูร์กในสวิตเซอร์แลนด์ และผู้เขียนนำรายงานฉบับปี 2020 กล่าว การเข้ามาของสัตว์กินเนื้อในอเมริกาเหนือเป็นเพียงสมมติฐานหนึ่งสำหรับสิ่งที่ผลักดันให้เกิดการแลกเปลี่ยนที่ไม่สมดุล
Carrillo บอกกับ WordsSideKick.com ว่า “สลอธบกและกริปโพดอนอาจมีขนาดใหญ่พอที่จะหลบหนีจากนักล่าเหล่านี้ได้ “และนั่นอาจเป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้พวกมันสามารถอพยพไปทางเหนือได้ และเราพบพวกมันในบันทึกฟอสซิลในหลายพื้นที่ของทวีปอเมริกาเหนือ” แต่กลับกันการลงมาถึงของเสือเขี้ยวดาบทำให้นักล่าดั่งเดิมหลายชนิดถึงกับสูญพันธุ์ แม้แต่พวกนกยักษ์นักล่าด้วย
ในขณะที่ผลกระทบของสายพันธุ์รุกรานสมัยใหม่ต่อการสูญพันธุ์นั้นชัดเจน การแลกเปลี่ยนได้วาดภาพที่ซับซ้อนมากขึ้น Carrillo กล่าวว่า “มันไม่ใช่แค่ช่วงเวลาเดียวในประวัติศาสตร์ของโลก แต่แท้จริงแล้วต้องใช้เวลาหลายล้านปีและมีช่วงที่แตกต่างกัน” การสูญพันธุ์ในอเมริกาใต้เกิดขึ้นในช่วงเวลาของการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ซึ่งเมื่อโลกเย็นลงก็อาจส่งผลกระทบเช่นกัน
แต่ก็ยังยุติธรรมอยู่ไหมที่จะสรุปว่า อย่างน้อยเหยื่อบางสายพันธุ์ในอเมริกาใต้ก็สูญพันธุ์เพราะนักล่าในอเมริกาเหนือเข้ามา? เรื่องนี้เป็นไปได้ แต่ก็อาจเกิดจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและปัจจัยอื่นๆ เช่นกัน
ลักษณะของสัตว์นั้นถูกสร้างขึ้นในสมรภูมิวิวัฒนาการ แต่นั่นไม่ได้หมายความว่าผู้ล่าจะลุกขึ้นมาครอบครองเหยื่อของพวกมัน Carrillo ตั้งข้อสังเกตว่า หากนักล่ากินเหยื่อของมันจนสูญพันธุ์ มันก็จะไม่มีอะไรกินและด้วยเหตุนี้ก็จะสูญพันธุ์ไปด้วย หากผู้ล่ามีเหยื่อหลายตัว ตามทฤษฎีแล้ว มันสามารถเอาชีวิตรอดจากการกำจัดสิ่งมีชีวิตหนึ่งชนิด แต่การสูญพันธุ์มักเกี่ยวข้องกับปัจจัยหลายประการ
เห็นได้ชัดว่ามนุษย์กำลังผลักดันสายพันธุ์ให้สูญพันธุ์ผ่านกิจกรรมต่างๆ เช่น การล่าสัตว์เกินกำลัง การทำลายที่อยู่อาศัย และการนำเข้าสายพันธุ์ที่รุกราน “ความจริงที่ว่าผลกระทบเหล่านั้นน่าทึ่งมาก เกือบจะเป็นหลักฐานที่ชัดเจนว่ากระบวนการเหล่านี้เป็นของจริงและแตกต่างอย่างมากจากสิ่งที่เคยทำมาก่อน” Blackburn กล่าวปิดท้าย