การค้นพบ เมกาปิรันย่า
เมกาปิรันย่า (Mega piranha) มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Megapiranha paranensis ถูกพบครั้งแรกในช่วงปี พ.ศ. 2443 หรือ ค.ศ. 1900 มันเป็นฟอสซิลที่พบอยู่ริมแม่น้ำทางตะวันออกเฉียงเหนือของประเทศอาร์เจนตินา แต่ฟอสซิลนี้ก็ไม่ได้รับการศึกษาจนถึงปี พ.ศ. 2523 หรือ ค.ศ. 1980 เมื่อนักวิจัยเริ่มให้ความสนใจเศษฟอสซิลที่เป็นชิ้นส่วนกรามและฟัน ซึ่งถูกเก็บรักษาไว้ในลิ้นชักของพิพิธภัณฑ์แห่งหนึ่งในอาร์เจนตินา
การศึกษาดำเนินไปจนถึงปี พ.ศ. 2552 หรือ ค.ศ. 2009 นักวิจัยก็ยืนยันได้ว่า สิ่งนี้เป็นปลาปิรันย่าชนิดใหม่อย่างแน่นอน และได้ตั้งชื่อว่า เมกาปิรันย่า (Megapiranha) มันคือปลาปิรันย่าขนาดใหญ่ที่สุดในโลกเท่าที่เรารู้จักในตอนนี้
พวกมันเป็นปลาที่สูญพันธุ์ในยุคไมโอซีนตอนปลาย หรือเมื่อประมาณ 10 ล้านปีก่อน และอาจจะสูญพันธุ์ไปเนื่องจากจำนวนเหยื่อที่น้อยลง เมื่อเทือกเขาแอนดีสได้แยกแม่น้ำแอมะซอนและแม่น้ำปารานาออกจากกัน
เมกาปิรันย่า ตัวใหญ่แค่ไหน?
แม้ในตอนนี้จะยังไม่มีฟอสซิลที่สมบรูณ์ แต่จากการศึกษาด้วยการเปรียบเทียบโครงสร้างฟันของเมกาปิรันย่ากับปิรันย่าในปัจจุบัน ก็พบว่ามันอาจยาวได้ถึง 1 เมตร และหนักได้ประมาณ 10 กิโลกรัม ซึ่งมีขนาดตัวพอๆ กับ ปลาเปคูซึ่งเป็นญาติกินพืชของปิรันย่า
หรือก็คือเมกาปิรันย่าใหญ่กว่าปิรันย่าดำในปัจจุบันถึง 4 เท่า! นอกจากนี้นักวิจัยยังพบว่า ปิรันย่าปัจจุบันมีฟัน 6 ซี่ที่กรามบน ในขณะที่เมกาปิรันย่า มี 7 ซี่ที่กรามบน นักวิจัยเชื่อว่าฟันที่หายไป อาจเกิดจากวัฒนาการ
เชื่อว่าเมกาปิรันย่าเป็นสะพานเชื่อมระหว่าง ปิรันย่ายุคปัจจุบันกับเปคู ซึ่งเป็นญาติสนิทกัน โดยเปคูจะมีฟันสองแถวบนกรามซึ่งเหมาะกับการบดเมล็ดพืช ในทางกลับกัน ปิรันย่าจะมีฟันที่แหลมคมหนึ่งแถวที่ใช้สำหรับฉีกเนื้อ
และในตอนนี้ นักวิจัยยังไม่ทราบเหยื่อที่แท้จริงที่เมกาปิรันย่ากิน แต่จากการศึกษาฟันกรามได้บ่งชี้ว่าน่าจะเป็นสัตว์กินเนื้อที่ใช้ฟันแหลมคมในการฉีกเหยื่อ …แต่ถึงอย่างงั้นมันก็ค่อนข้างคล้ายเปคูเช่นกัน
เมกาปิรันย่า มีพลังกัดมหาศาล
เพื่อให้ทราบถึงแรงกัดที่แท้จริงของเมกาปิรันยา นักวิจัยได้ศึกษาจากปิรันยาดำ (Serrasalmus rhombeus) ซึ่งเป็นปิรันย่าขนาดใหญ่ที่สุดในยุคนี้ มันเป็นปลาที่มีฟันรูปสายเหลี่ยมเรียงกันเป็นแถวเดียว ซึ่งทั้งหมดเรียงกันอยู่บนกรามที่มีกล้ามเนิ้อที่แข็งแรงมาก
ด้วยการรวบรวมข้อมูลจากเชิงประจักษ์กับอัลโลเมทรี (Allometry) ประกอบกับการจำลองการกัดและไฟไนต์เอลิเมนต์ หรือ FEA ทำให้นักวิจัยสามารถจำลองการกัดของเมกาปิรันย่าขึ้นมาใหม่ได้
เมื่อเทียบกับปิรันย่าดำ ที่สามารถออกแรงกัดได้ 320 นิวตัน มากกว่าขนาดร่างกายถึง 30 เท่า หากเทียบตามขนาดร่างกายแบบปอนด์ต่อปอนด์ ปิรันย่าดำ มีแรงกัดมากกว่าจระเข้อเมริกาถึง 3 เท่า ด้วยเหตุนี้ปิรันย่าดำจึงเป็นสัตว์ที่มีแรงกัดมากที่สุด เท่าที่บันทึกไว้ในหมวดของปลากระดูกแข็ง ในขณะที่เมกาปิรันย่าโหดกว่ามาก เพราะจากผลการทดลองได้ทำให้นักวิจัยต้องตกตะลึง มันออกแรงกัดได้ 1,240 ถึง 4,749 นิวตัน มีแรงกัดมากกว่าปิรันย่าดำ 4 เท่า!
นักวิจัยพบว่า ฟันของเมกาปิรันย่านั้นแข็งแกร่งมาก มันสามารถต้านทางแรงกัดสูงและยังบดขยี้กระดูกแข็งๆ ของสัตว์มีกระดูกสันหลังในยุคนั้นได้ ..ด้วยเหตุนี้ เมื่อเทียบกับน้ำหนักตัวแล้วเมกาปิรันย่า คือแชมป์ปลาที่มีแรงกัดมากที่สุดในประวัติศาสตร์ มากกว่าฉลามขาว (Carcharodon carcharias) หรือแม้แต่กับ เม็กกาโลดอน (megalodon) …แต่! ต้องจำไว้ว่ามันเป็นวิธีการคำนวณตามหลักวิทยาศาสตร์ ซึ่งเป็นการคำนวณที่สัตว์ตัวพอๆ กัน
สรุปคือ! ตามที่ผู้เชี่ยวชาญด้านปลา ได้กล่าวว่า เมกาปิรันย่าเป็นสะพานเชื่อมระหว่างปิรันย่าในปัจจุบันกับเปคู ซึ่งเป็นญาติกับปิรันย่า โดยเปคูมีฟันสองแถว ในขณะที่ปิรันย่ามีฟันแถวเดียว ส่วนเมกาปิรันย่าจะมีฟันเรียงเป็นแถวซิกแซก แต่แม้เมกาปิรันย่าจะตัวใหญ่และทรงพลัง แต่ก็หนีไม่รอดจากภัยพิบัติทางธรรมชาติ ที่ทำให้พวกมันต้องขาดแคลนอาหาร ซึ่งนำไปสู่การสูญพันธุ์ของพวกมันในยุคไมโอซีน