ล่าขุมทรัพย์ ‘ฟอสซิลที่หายไป’ ถูกพบอีกครั้งหลังผ่านมา 70 ปี

ฟอสซิลที่หายไป แต่ไม่ได้หายเพราะถูกขโมย แต่เพราะนักวิจัยที่พบฟอสซิลนี้เป็นครั้งแรก ไม่สามารถบันทึกพิกัดที่แน่นอนได้ จนเป็นเหตุให้เดินทางกลับมาตรงตำแหน่งเดิมไม่ได้ โดยแหล่งฟอสซิลนี่ถูกพบครั้งแรกเมื่อปี 1951

สถานที่ที่ถูกค้นพบใหม่นี้ รู้จักกันในชื่อ Cerro Chato ตั้งอยู่ใกล้ชายแดนบราซิลกับอุรุกวัย ในรัฐรีโอกรันดีดูซูลทางตอนใต้ ย่อนกลับไปในช่วงปลายยุคเพอร์เมียน (permian) 299 -251 ล้านปีก่อน บริเวณนี้มีสภาพพื้นที่เหมาะสำหรับการดักจับและรักษาสิ่งมีชีวิตที่ตายแล้ว จึงทำให้ Cerro Chato เต็มไปด้วยซากดึกดำบรรพ์ โดยเฉพาะพืชซึ่งโดยทั่วไปจะไม่กลายเป็นฟอสซิลง่ายๆ ซึ่งต่างจากสัตว์ที่มีส่วนแข็งอย่างกระดูก

นักบรรพชีวินวิทยาที่ค้นพบ Cerro Chato เป็นครั้งแรกในปี 1951 พวกเขารู้สึกตื่นเต้นกับซากจากยุคเพอร์เมียน ที่ได้รับการอนุรักษ์ไว้เป็นอย่างดี

น่าเสียดายที่ในตอนนั้น บริเวณใกล้ๆ Cerro Chato ไม่มีสถานที่สำคัญให้ใช้เป็นเครื่องหมาย และยังไม่สามารถใช้เทคโนโลยีที่ทันสมัยอย่าง GPS ได้ ด้วยเหตุนี้ พวกเขาจึงไม่สามารถบันทึกพิกัดทางภูมิศาสตร์ที่แน่นอนของพื้นที่นี้ได้ และเมื่อพวกเขาต้องการจะกลับมา ก็ไม่พบกับสิ่งที่คาดหวังเอาไว้

แน่นอนว่านักวิจัยพยายามกลับมาสำรวจอีกหลายครั้ง แต่ก็ไม่พบร่องรอยอะไรเลย จนในที่สุดพวกเขาก็เลิกค้นหาและประกาศว่าสถานที่แห่งนี้ได้หายไปแล้ว อย่างไรก็ตามนักวิจัยกลุ่มใหม่ได้พยายามค้นหา และก็ค้นพบสถานที่ที่หายไปในปีในปี 2019

Joseline Manfroi นักพฤกษศาสตร์จากมหาวิทยาลัย Vale do Taquari ในเมือง Rio Grande do Sul กล่าวว่า “เป็นเวลาหลายสิบปีแล้ว ที่ตำแหน่งทางภูมิศาสตร์ของโขดหินนี้ไม่เป็นที่รู้จัก” มันเป็นแรงบันดาลใจให้ทีมวิจัยใหม่ดำเนินการต่อเพื่อ “ล่าขุมทรัพย์” อีกครั้ง

Advertisements

จนถึงปัจจุบัน นักวิจัยค้นพบฟอสซิลที่อยู่ใน Cerro Chato มากกว่า 100 ตัวอย่าง ซึ่งส่วนใหญ่เป็นพืช ปลาและหอยบางชนิด โดยทีมดั้งเดิมและโดยผู้เขียนร่วมของการศึกษาใหม่ ได้รายงานว่า พืชฟอสซิลบางชนิดเป็นบรรพบุรุษของต้นสนและเฟิร์นในปัจจุบัน

ฟอสซิลของพืชใน Cerro Chato จะช่วยให้นักวิจัยเข้าใจสิ่งที่เกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศที่รุนแรงมากขึ้น ซึ่งเกิดขึ้นในตอนท้ายของยุคเพอร์เมียน และก่อให้เกิดเหตุการณ์การสูญพันธุ์ ซึ่งเป็นเหตุให้สิ่งมีชีวิตบนโลกต้องตายไปถึง 90%

สุดท้าย.. ซากดึกดำบรรพ์ที่เรากำลังศึกษาอยู่นี้ มีความสำคัญระดับโลก เนื่องจากเป็นหลักฐานโดยตรงที่เกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงของสิ่งแวดล้อม ที่เกิดขึ้นในช่วงยุคเพอร์เมียน ..Ferraz กล่าว “การศึกษาเหล่านี้จะช่วยให้เราสามารถดึงข้อมูลเกี่ยวกับการกระจายพันธุ์พืชเหล่านี้ไปทั่วโลกได้อย่างไร”

อ่านเรื่องอื่น

Advertisements
Advertisements