Henny Martineau จาก Royal Veterinary College ในสหราชอาณาจักรและเพื่อนร่วมงานของเธอได้วิเคราะห์ซากแมวที่ 32 ตัวที่ถูกพบช่วงปี 2016 – 2018 ศพเหล่านี้ถูกเก็บไว้โดยกองกำลังตำรวจ Hertfordshire และ Metropolitan มันเป็นส่วนหนึ่งของการสอบสวน
นักวิจัยได้ทำการชันสูตรพลิกศพของแมว รวมทั้งทำซีทีสแกน พวกเขายังเก็บขนของแมวเพื่อทดสอบว่าจะสามารถหา DNA ของสัตว์อื่นๆ เช่น สุนัข สุนัขจิ้งจอก หรือแบดเจอร์ได้หรือไม่
ตำรวจพยายามอย่างมาก เพื่อระบุตัวฆาตกรตัวจริงที่สังหารแมวไปนับร้อย เนื่องจากซากศพทั้งหมดมีลักษณะแตกต่างกัน มาร์ติโนกล่าว “ในการศึกษาของเรา มีส่วนของร่างกายที่หายไป 13 ส่วนรวมกัน ดังนั้นจึงเป็นการยากที่จะระบุรูปแบบในตอนแรก”
ในขณะเดียวกัน แมว 8 ตัวอาจตายจากภาวะหัวใจล้มเหลวหรือปอดล้มเหลวโดยธรรมชาติ ในขณะที่ 6 ตัวอาจตายหลังถูกรถชน การค้นพบนี้ตอกย้ำข้อสรุปของตำรวจในปี 2018
Martineau สงสัยว่าสาเหตุที่หางและหัวของแมวหลายตัวถูกตัดออก ก็เพราะว่าสุนัขจิ้งจอกมีขากรรไกรที่อ่อนแอ”ดังนั้นพวกมันจะกำหนดเป้าหมายไปยังส่วนที่ง่ายต่อการจัดการ”
หากฆาตกรเป็นสุนัขจิ้งจอก ก็จะสามารถอธิบายการขาดเลือดที่ขอบบาดแผลของแมวได้ Martineau กล่าวว่า “บาดแผลเกิดขึ้นหลังจากที่สัตว์ตายไปแล้ว ดังนั้นบริเวณนั้นจะไม่มีเลือดไหลออกมา”
มันยากที่จะบอกว่ามีสุนัขจิ้งจอกกี่ตัวที่เกี่ยวข้อง แต่เป็นไปได้ว่า จะมีเพียง 1 – 3 ตัวเท่านั้น ที่คิดว่าแมวสามารถเป็นอาหารของมันได้ เพราะยังไงซะสำหรับสุนัขจิ้งจอก แมวก็ใช่สัตว์ที่จะล่าได้ง่ายๆ (แต่ล่าสุดเมื่อปีที่ผ่านมามีกรณีพบเห็นมนุษย์ออกล่าแมวในเมืองเช่นกัน และเจ้าหน้าที่ตำรวจก็กำลังตามจับ)