ความลึกลับของ เชื้อราถึงตาย ที่กำลังระบาดไปทั่วโลก

เชื้อราซึ่งรวมถึงเห็ดรา เป็นสิ่งมีชีวิตที่ลึกลับ และแปลกประหลาด พวกมันอาจกินได้และทำให้อาหารอร่อยขึ้น ในขณะที่บางชนิดกลับถึงตาย ไม่แค่เพียงมนุษย์ แต่เชื้อราบางชนิดสามารถทำให้หนึ่งในต้นไม้ขนาดใหญ่ที่สุดเกือบจะสูญพันธุ์ และที่สำคัญคือ เราไม่สามารถนำต้นไม้ชนิดเดียวกันนี้ไปปลูกในป่าผืนเดิมได้ เชื้อราบางชนิดกลายเป็นฝันร้ายของสัตว์ครึ่งบกครึ่งน้ำ และนี่คือเรื่องราวของเชื้อราที่ระบาดไปทั่วโลก

ความตายจากเห็ดระโงกหิน

Advertisements

เมื่อประมาณ 20 ปี ก่อน! ผู้เชี่ยวชาญด้านเห็ดรา ที่กำลังตรวจสอบเห็ดที่อยู่ในอุทยานแห่งชาติที่อยู่ทางตอนเหนือของซานฟรานซิสโก ก็ตะหนักได้ว่า ตัวเองกำลังตกอยู่ในสถานการณ์ที่ยากลำบาก นั้นเพราะรอบๆ ตัวเต็มไปด้วยเห็ดที่ได้ชื่อว่า เป็นหนึ่งในเห็นที่อันตรายที่สุดในโลก มันคือ เห็ดระโงกหิน (Amanita phalloides) หรือที่รู้จักกันในชื่อ เดธแคป (death cap)

เป็นที่รู้กันว่า! เห็ดชนิดนี้ เป็นเห็ดพื้นเมืองของทวีปยุโรป แต่ในตอนนี้ได้แพร่กระจายไปทั่วโลก รวมทั้งประเทศไทย ซึ่งเรื่องนี้ได้รับการยืนยันจากการตรวจสอบ DNA แล้วว่า เห็ดพวกนี้มาจากยุโรปจริงๆ

แล้วก็เป็นอย่างที่รู้กันว่า เห็ดระโงกหิน เป็นสาเหตุของการเกิดพิษจากเห็ดมากที่สุด สารพิษร้ายแรงของเห็ดชนิดนี้ จะเริ่มทำลายร่างกายมนุษย์ ภายในเวลาเพียง 6 ชั่วโมงหลังจากที่กินเข้าไป มันทำให้ปวดท้อง คลื่นไส้ อาเจียน หากไม่ได้รับการรักษา อาจทำให้ตายได้

เฉพาะในออสเตรเลีย! ในเดือนสิงหาคม ปี พ.ศ. 2566 เพียงเดือนเดียว ก็มีคนตายเพราะเห็ดพิษนี้ถึง 3 คน ในบริติชโคลัมเบีย มีเด็กคนหนึ่งก็เพิ่งตายไป ในแคลิฟอร์เนียตอนเหนือ แม้จะไม่มีการระบุถึงผู้เสียชีวิต แต่ก็มีคนเจ็บหนักจากเห็นพิษมากกว่า 10 กรณี และนี่คือตัวเลขที่เกิดขึ้นในสัปดาห์เดียว

แน่นอนว่าในประเทศไทยเอง ก็มีผู้เสียชีวิตจากเห็ดพวกนี้เช่นกัน หากนับเฉพาะรายที่เป็นข่าว อย่างในเดือน กรกฎาคม ในปีนี้ ก็มีกรณีที่ตายยกครัว ก่อนหน้านี้ในเดือนเดียวกันก็มี แม่ตาย ลูกโคม่า และจากข้อมูลของกรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข ได้ระบุว่า! ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม ถึง 11 มิถุนายน 2566 มีผู้ป่วยเนื่องจากกินเห็ดพิษ 299 ราย ในจำนวนนี้ มี 5 ที่ตาย …นี่แสดงให้เห็นความน่ากลัวของเชื้อราที่ประกอบกันจนกลายเป็นเห็ดพิษ

แม้จะอันตราย แต่ก็ลึกลับน่าศึกษา

แม้เห็ดระโงกหินจะอันตรายถึงตาย! แต่พวกมันก็ไม่ได้วิวัฒนาการมาเพื่อฆ่าคน พวกมันเป็นเห็ดจำพวกไมคอร์ไรซา (mycorrhizal fungi) ซึ่งจะงอกออกมาจากเส้นใยของเชื้อรา ที่เติบโตอยู่ในดินและจะพันรอบๆ รากไม้ มันมีส่วนช่วยให้ต้นไม้ดูดซึมสารอาหารได้ดี และแม้ว่ากิจกรรมที่อยู่ใต้ดินจะน่าสนใจ แต่ก็ทำให้นักวิจัยกังวลเช่นกัน นั้นเพราะพวกเรารู้จักเรื่องที่เกี่ยวกับอาณาจักรเห็ดราน้อยเกินไป …จะเกิดอะไรขึ้นหากเครือข่ายใต้ดินเหล่านี้เชื่อมโยงไปยังที่อื่นๆ

ในช่วงศตวรรษที่ผ่านมา โลกของเรามีการเชื่อมต่อกันมากขึ้นและเร็วขึ้น เห็ดรา เช่น เห็ดพิษ ได้เริ่มต้นการเดินทางไปทั่วโลก พวกมันติดไปกับพืชที่นำเข้า หรือเพียงแค่ลอยไปตามลม เป็นระยะทางหลายร้อยกิโลเมตร และเพราะการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศ ได้ทำให้สิ่งมีชีวิตเหล่านี้! เติบโตได้ดีขึ้น แม้จะอยู่ในระบบนิเวศที่เคยหนาวเย็นและแห้งแล้งเกินไป บางที! ต่อจากนี้ อีกหลายสิบปีหรือร้อยปี ทวีปแอนตาร์กติกา อาจจะมีเห็นพิษพวกงอกอยู่ก็เป็นได้

หากมองอีกความหมายหนึ่ง เห็ดราคือโลกอีกใบที่ซ่อนอยู่ ซึ่งเราเองก็กำลังเรียนรู้เรื่องที่เกี่ยวกับพวกมัน! เห็ดราพวกนี้ เติบโตอยู่ใต้ดิน และสุดท้ายก็มีลำต้นที่กินได้เหมือนพืช! แต่ถึงอย่างงั้นก็ยังมีหลายสิ่งที่ต่างจากพืชอย่างมาก

โดยปกติ! ผนังเซลล์ของพืชจะสร้างจากเซลลูโลส (cellulose) แต่เห็ดราจะสร้างจากไคติน (chitin) ซึ่งเป็นเส้นใยชนิดเดียวกับที่พบในเปลือกนอกของแมลงและสัตว์จำพวกกุ้ง และเห็ดราก็เป็นเฮเทโรทรอพ (Heterotroph) ที่สามารถกินสิ่งมีชีวิตอื่นได้! มันจะย่อยสลายไม้หรือซากพืชที่ตายแล้ว จากนั้นจะปลดปล่อยและดูดซับเอนไซม์กลับคืนมา หากมองจากจุดนี้ ถ้าไม่มีเห็ดราเหล่านี้ ซากพืชและสัตว์ที่ตาย จะกองทับถมกันอยู่บนพื้นดิน และต้นไม้ส่วนใหญ่ก็จะต้องดิ้นรนเพื่อหาสารอาหารที่จำเป็นต่อการดำรงชีวิต

เห็ดราใกล้เคียงกับสัตว์มากกว่าที่คิด!

เห็ดราพวกนี้! วิวัฒนาการมาเป็นเวลากว่าพันล้านปี ทั้งหมดก็เพื่อให้สามารถอยู่ในสภาพแวดล้อมเฉพาะ! ในตอนแรกพวกมันอาจอยู่ร่วมกับสิ่งมีชีวิตชนิดอื่นเพียงชนิดเดียว แต่! เมื่อเห็ดราย้ายไปที่ใดที่หนึ่ง ไม่ว่าจะไกลแค่ไหน ความสัมพันธ์ที่ซับซ้อนนี้ ก็อาจผิดผิดเพี้ยนไป ท้ายที่สุดก็กลายเป็นเห็ดราที่เป็นอันตราย! นั้นเพราะมนุษย์มีโอกาสเจอพวกมันมากขึ้น และมีโอกาสที่จะกินมันเข้าไปเช่นกัน

และเพราะการสืบพันธุ์ที่มีความหลากหลาย สปอร์ในอากาศจากเห็ดรา ที่ต่างชนิดกัน! สามารถผสมกันในแหล่งที่อยู่อาศัยใหม่ พวกมันอาจหลอมรวมเส้นใย เพื่อสร้างเครือข่ายใต้ดินของพวกมันเข้าด้วยกัน ในยามฉุกเฉิน เห็ดราหลายชนิด สามารถสืบพันธุ์แบบไม่อาศัยเพศได้

ด้วยการสืบพันธุ์ที่หลากหลาย ได้ช่วยให้พวกมัน ปรับตัวให้เข้ากับสภาพอากาศ และภูมิประเทศที่เปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว และนี้เป็นเหตุผลที่ทำให้พวกมันสามารถเติบโตได้เกือบทุกส่วนของโลก!

เชื้อราที่ทำลายต้นไม้ยักษ์ และ สัตว์ครึ่งบกครึ่ง

Advertisements

ต้นเกาลัดอเมริกัน (American chestnut) เป็นต้นไม้ยักษ์แห่งเทือกเขาแอปพาเลเชียน ต้นไม้ชนิดนี้สูงได้ถึง 30 เมตร และกว้าง 4 เมตร อย่างไรก็ตาม! ต้นไม้ชนิดนี้ก็อยู่ในสถานะใกล้สูญพันธุ์ขั้นวิกฤติ ส่วนสาเหตุเริ่มต้นในช่วงต้นศตวรรษที่ 20 เชื้อราที่ชื่อว่า คริฟโฟเนคเตรีย พาราซิติกา (Cryphonectria parasitica) ได้เดินทางมาถึงทวีปอเมริกา! และแม้แต่เดิม เชื้อราชนิดนี้จะมีอยู่ใน ญี่ปุ่นและจีน แต่! ก็เป็นเพียงสิ่งรบกวนต้นเกาลัดเอเชีย (Asian chestnut)

Advertisements

แต่สำหรับในอเมริกาไม่ได้เป็นเช่นนั้นเลย! เพราะเชื้อราได้ทำให้ต้นเกาลัดอเมริกันเกิดแผลลึก และค่อยๆ ขัดขวางการส่งสารอาหาร จนสุดท้ายก็ตาย! และเพราะแบบนี้ ในศตวรรษต่อมาต้นเกาลัดอเมริกัน 4 พันล้านต้นก็หายไปจากป่า …และเพราะเชื้อรายังอยู่ในป่า! จึงไม่สามารถฟื้นฟูต้นไม้ชนิดนี้ให้กลับมาได้

ขณะที่ต้นเกาลัดอเมริกันต้นสุดท้ายตายไป! กบและสัตว์ครึ่งบกครึ่งน้ำอื่นๆ ก็ต้องเจอเข้ากับอันตรายที่คล้ายคลึงกัน มันเกิดจากเชื้อราที่ทำให้เกิดโรคชื่อไคทริดิโอไมโคซิส (Chytridiomycosis) และแม้จะยังไม่มีหลักฐานที่แน่ชัด แต่ก็เชื่อกันว่า เชื้อราชนิดนี้มีต้นกำเนิดมาจากคาบสมุทรเกาหลี

ในตอนแรก! เชื้อราชนิดนี้เกิดขึ้นและอยู่ร่วมกับสัตว์ครึ่งบกครึ่งน้ำโดยไม่ได้สร้างผลกระทบอะไรมากนัก อาจเพราะมันยังอยู่ในพื้นที่เล็กๆ แต่! ในช่วง 150 ปีที่ผ่านมา เชื้อราไคทริดิโอ ได้แพร่กระจายไปทั่วโลก! และเพราะเชื้อรานี้ร้ายแรงมาก หากสัตว์ครึ่งบกครึ่งน้ำติดเชื้อราจะมีอัตราการตาย 100% และเพราะแบบนี้ จึงทำให้ประชากรของสัตว์ครึ่งบกครึ่งน้ำอย่างน้อย 500 ชนิด ลดลงไปอย่างมาก และอีกอย่างน้อย 90 ชนิดต้องสูญพันธุ์ไป อีกกว่า 120 ชนิด มีประชากรลดลงไปมากกว่า 90%

และเพราะมันเป็นเชื้อราที่สร้างความเสียหายอย่างมาก จึงถูกอธิบายว่า เป็นการสูญเสียความหลากหลายทางชีวภาพครั้งใหญ่ที่สุด ที่เกิดจากโรคระบาด! …แต่ก็โชคยังดีที่ จากการศึกษาล่าสุด! นักวิจัยพบว่า ประกรบางส่วนของสัตว์ครึ่งบกครึ่งน้ำเริ่มมีภูมิคุ้มกัน แม้จะเพียงเล็กน้อยก็ตาม

อ่านเรื่องอื่น

Advertisements