การค้นพบครั้งนี้ไม่ต่างจากการพบ “จอกศักดิ์สิทธิ์” ทางบรรพชีวินวิทยา พวกเขาตั้งชื่อสัตว์ชนิดนี้ว่า เตตระโพโดฟิส (Tetrapodophis amplectus) เชื่อว่ามันคือตัวเชื่อมโยงที่ขาดหายไประหว่างงูและกิ้งก่า
แต่มีปัญหาเพียงอย่างเดียว จากการวิเคราะห์ซากเตตระโพโดฟิส (จากภาษากรีกแปลว่า “งูสี่ขา”) ครั้งล่าสุด พบว่ามันไม่ใช่ “งู” แต่เป็นสายพันธุ์ของกิ้งก่าทะเลที่สูญพันธุ์ไปแล้วซึ่งมีอายุมากกว่า 110 ล้านปี
Michael Caldwell นักบรรพชีวินวิทยาจากมหาวิทยาลัยอัลเบอร์ตาในแคนาดากล่าวว่า “มีคำถามที่เกี่ยวกับวิวัฒนาการมากมาย ที่สามารถให้คำตอบได้จากฟอสซิลงูสี่ขาตัวนี้ เพียงแต่ถ้ามันเป็นงูจริงๆ”
“ข้อสรุปที่สำคัญของของเราคือ เตตระโพโดฟิส ไม่ใช่งูจริงๆ และมันถูกจัดประเภทผิด แต่ทุกแง่มุมของกายวิภาคศาสตร์นั้น มันสอดคล้องกับกายวิภาคของกลุ่มกิ้งก่าทะเลที่สูญพันธุ์จากยุคครีเทเชียสที่เรียกว่า โดลิโคซอรัส (dolicosaurs)”
เป็นที่ยอมรับกันมานานแล้วว่างูไม่ได้ไร้ขามาตั้งแต่แรก เรายังมีฟอสซิลอื่นๆ ที่ยืนยันเรื่องนี้ เช่น นาจาช (Najash rioegrina) ซึ่งเป็นงูที่อยู่เมื่อประมาณ 95 ล้านปีก่อน มันถูกพบในปี 2006 มันมีขาเล็กๆ ด้านหลัง 2 ข้าง ..นักบรรพชีวินวิทยาคาดหวังว่า ซากดึกดำบรรพ์ของงูสี่ขาที่แท้จริง ต้องอยู่ที่ไหนสักแห่งในเส้นทางการวิวัฒนาการอันยาวนาน
เตตระโพโดฟิส ดูเหมือนจะเป็นตัวเลือกที่มีแนวโน้มเป็นไปได้มากที่สุด การศึกษาในปี 2015 ได้ตรวจสอบและวิเคราะห์กระดูกอย่างละเอียดถี่ถ้วน แต่ Caldwell คิดว่ามีบางอย่างผิดปกติอย่างรวดเร็ว เขาและเพื่อนร่วมงานเสนอข้อโต้แย้งในเดือนตุลาคม 2016 ในการประชุม Society of Vertebrate Paleontology
หลังจากตรวจดูโครงกระดูกแล้ว พวกเขาพบว่าฟันของมันไม่ได้เกี่ยวหรือคล้ายกับฟันของพวกงูเลย กะโหลกศีรษะและโครงกระดูกของมันไม่เหมือนกับงู ทีมงานยังไม่สามารถมองเห็นร่องรอยเกล็ดที่ท้องขนาดใหญ่ที่พบในงูด้วย
ยิ่งไปกว่านั้น ในท้องของมันยังมีอาหารมื้อสุดท้ายที่ดูเหมือนจะเป็นปลา ซึ่งทำให้คิดว่ามันต้องเป็นสัตว์ที่อาศัยในน้ำเป็นหลัก ..งานวิจัยชิ้นใหม่นี้มีความละเอียดมากยิ่งขึ้น โดยหยิบเอาสิ่งที่งานวิจัยในปี 2015 มองข้ามไป นั้นก็คือ หินที่อยู่รอบๆ ฟอสซิล
“เมื่อหินที่บรรจุฟอสซิลถูกแยกออก โครงกระดูกและกะโหลกศีรษะก็ไปอยู่ด้านตรงข้ามของแผ่นหิน โดยมีแม่พิมพ์ตามธรรมชาติที่รักษารูปร่างของแต่ละชิ้นที่อยู่ฝั่งตรงข้ามไว้” Caldwell กล่าว
“งานวิจัยเดิมอธิบายเฉพาะกะโหลกศีรษะและมองข้ามราที่เกิดขึ้นตามธรรมชาติไป ซึ่งยังคงไว้ซึ่งลักษณะหลายประการที่ทำให้เห็นชัดเจนว่า เตตระโพโดฟิส ไม่มีกะโหลกศีรษะแบบงู
แม้ว่าจะไม่ใช่งู แต่เจ้า เตตระโพโดฟิส ที่บางทีควรจะต้องเปลี่ยนชื่อใหม่ ในตอนนี้ยังมีเรื่องที่เราไม่รู้อีกมาก โครงกระดูกขนาดเล็กนี้ได้รับการเก็บรักษาไว้อย่างประณีต ซึ่งเป็นของขวัญชิ้นสำคัญสำหรับการศึกษาโดลิโคซอรัส ชนิดอื่นๆ เพียงแต่ถ้าสามารถเข้าถึงมันได้เท่านั้น เพราะในปัจจุบัน ฟอสซิลนี้อยู่ในมือของเอกชน ซึ่งขัดต่อกฎหมายของบราซิล
นักบรรพชีวินวิทยากล่าวว่า “ฟอสซิลถูกนำออกจากบราซิลโดยไม่มีการอนุญาตตามกฏหมาย และนับตั้งแต่ตีพิมพ์ครั้งแรก มันได้ถูกจัดเก็บไว้ในคอลเล็กชันส่วนตัวที่มีนักวิจัยเข้าถึงได้จำกัด สถานการณ์ดังกล่าวเป็นปัญหาสำคัญของชุมชนวิทยาศาสตร์” Tiago Simoes จากมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด
“ในการอธิบายเรื่องของ เตตระโพโดฟิส เราวางสถานะทางกฎหมายที่สำคัญของตัวอย่างฟอสซิลและเน้นความจำเป็นในการส่งตัวส่งอย่างประเทศบราซิล ไม่เพียงสอดคล้องกับกฎหมายของบราซิลเท่านั้น แต่ยังรวมถึงสนธิสัญญาระหว่างประเทศและความพยายามระหว่างประเทศที่เพิ่มขึ้นเพื่อลดผลกระทบของการสูญหายของฟอสซิล สำหรับทางวิทยาศาสตร์”