มนุษย์เริ่มล่านกพิราบแพสเซนเจอะในช่วงศตวรรษที่ 19 จนในปี ค.ศ 1914 พวกมันก็สูญพันธุ์ ซึ่งเป็นไปตามรายงานของออดูบอน (Audubon) องค์กรด้านสิ่งแวดล้อม ที่ไม่แสวงหากำไรของสหรัฐอเมริกา ซึ่งอุทิศตนเพื่อการอนุรักษ์นก นกเหล่านี้เป็นตัวอย่างที่สำคัญของความรวดเร็วและมีประสิทธิภาพ ที่มนุษย์สามารถกำจัดแม้กระทั่งสัตว์ที่บินอยู่บนท้องฟ้า และยังมีมากมายอย่างเหลือเชื่อ
นกพิราบแพสเซนเจอะ คืออะไร?
นกพิราบแพสเซนเจอะ (Passenger pigeon) หรือ นกพิราบป่า (wild pigeon) / (Ectopistes migratorius) เป็นนกที่มีถิ่นกำเนิดในทวีปอเมริกาเหนือ โดยนกชนิดนี้ตัวผู้จะมีขนาดใหญ่กว่าตัวเมียเล็กน้อย ซึ่งจะยาว 39 – 41 เซนติเมตร เป็นนกที่มีสีเทาเป็นส่วนใหญ่ มีขนสีรุ่งที่คอ และมีจุดสีดำบนปีก ในขณะที่ตัวเมียจะมีขนที่หมองคล้ำกว่าและเป็นสีน้ำตาลมากกว่าตัวผู้
นกพิราบแพสเซนเจอะ มักจะอาศัยอยู่ในป่าทางตะวันออกของทวีปอเมริกาเหนือ และแหล่งเพาะพันธุ์สำคัญจะอยู่บริเวณเกรตเลกส์ เป็นนกที่อพยพเป็นฝูงขนาดมหึมา พวกมันจะค้นหาอาหาร ที่พักและพื้นที่ผสมพันธุ์อยู่ตลอดเวลา เป็นนกที่สามารถบินได้เร็วถึง 100 กิโลเมตรต่อชั่วโมง
ความอุดมสมบูรณ์ของนกชนิดนี้เป็นอะไรที่น่าเหลือเชื่อ เคยมีการบันทึกอยู่ครั้งหนึ่งว่าพบฝูงของนกพิราบแพสเซนเจอะ 3 – 5 พันล้านตัว บินอยู่ที่อเมริกาเหนือ
และเพราะพวกมันมักอยู่รวมกันเป็นฝูงที่ใหญ่มากๆ เสียงร้องของนกชนิดนี้ จึงถูกอธิบายว่า “เป็นเสียงที่ทำให้หูหนวก” ซึ่งได้ยินไปไกลหลายกิโลเมตร แน่นอนว่าไม่เคยมีการบันทึกเสียงของนกชนิดนี้เอาไว้ แต่ก็มีคำอธิบายว่านกจะร้องประมาณ “kee-kee-kee-kee” แต่ก็มีหลายโทนเสียง และมีตัวโน๊ตเสียงร้องนกตัวผู้ ที่เรียบเรียงโดย วอลเลซ เครก (Wallace Craig) เมื่อปี ค.ศ. 1911
ในเรื่องการสืบพันธุ์ก็ไม่ธรรมดา นกพิราบแพสเซนเจอะจะสร้างอาณานิคมหรือพื้นที่ทำรังขนาดใหญ่ขึ้นมา โดยพื้นที่ทำรังขนาดใหญ่ที่สุดที่เคยบันทึกไว้ อยู่ในวิสคอนซิน เมื่อปี ค.ศ. 1871 ตามรายงานระบุว่า ครอบคลุมพื้นที่ 2,200 ตารางกิโลเมตร โดยมีนกทำรังอยู่ในนั้นประมาณ 136,000,000 ตัว
ในเรื่องอาหารการกินของนกชนิดนี้ ก็คล้ายกับนกพิราบทั่วไป พวกมันกินลูกโอ๊กและเกาลัด ในบางช่วงมันก็ได้กิน ผลเบอร์รี่ บลูเบอร์รี่ องุ่น และยังกินหนอน แมลง หอยทาก และจากการศึกษาพบว่า นกชนิดนี้สามารถกินลูกโอ๊กได้ 100 กรัม ต่อวัน จริงๆ มันก็เหมือนเป็นเรื่องธรรมดาของนกพิราบพวกนี้ แต่หากลองมาคิดดูว่า ด้วยจำนวนอย่างน้อย 3 พันล้านตัวในอดีตของพวกมัน ก็สามารถคิดเป็นปริมาณอาหาร 210 ล้านลิตรต่อวัน ความจริงฝูงของพวกมันคงคล้ายฝูงตั๊กแตนอพยพที่ไล่ถล่มพืชผลระหว่างทาง
การสูญพันธุ์อย่างรวดเร็ว
ในอดีตนกพิราบแพสเซนเจอะถูกล่าโดยชนพื้นเมืองอเมริกัน แต่ก็ไม่ได้รับผลกระทบอะไรมากนัก การล่าทวีความรุนแรงมากขึ้นหลังการมาถึงของชาวยุโรป โดยโดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงศตวรรษที่ 19 เนื้อนกพิราบถูกนำมาขายเป็นอาหารราคาถูก ส่งผลให้มีการล่าเป็นจำนวนมหาศาล และเป็นแบบนี้นานหลายสิบปี ติดตามมาด้วยปัจจัยอื่นๆ อีกหลายประการ อย่างตัดไม้ทำลายป่าเป็นวงกว้าง ซึ่งได้ทำลายถิ่นที่อยู่ของพวกมัน และยังถูกใช้เป็นเกมกีฬาอีกด้วย
โดยระหว่างปี ค.ศ. 1800 – 1870 ประชากรของนกพิราบแพสเซนเจอะลดลงอย่างช้าๆ จนมาถึงช่วงปี ค.ศ. 1870 – 1890 ก็ลดลงอย่างรวดเร็ว
นกพิราบแพสเซนเจอะ ฝูงสุดท้ายถูกพบเมื่อปี ค.ศ 1896 พวกมันมีเหลืออยู่ประมาณ 250,000 ตัว และถูกฆ่าเกือบทั้งหมดภายในวันเดียว คงเหลือประมาณ 5 พันตัวที่รอดไปได้
ต่อมาในปี ค.ศ. 1900 นกพิราบแพสเซนเจอะ ที่อยู่ในป่าตัวสุดท้ายก็ถูกยิงตายที่ทางตอนใต้ของรัฐโอไฮโอ จนมาถึงปี ค.ศ. 1914 นกพิราบแพสเซนเจอะ ตัวสุดท้ายของโลกที่ชื่อว่า “มาร์ธา” ก็ตายที่สวนสัตว์ซินซินนาติ …มันเป็นการสูญพันธุ์โดยสมบรูณ์ของนกพิราบชนิดที่เคยมีประชากรมากที่สุดในโลก