Geisler, Bianucci และเพื่อนร่วมงานอีกหลายคนจากมหาวิทยาลัยปิซา (University of Pisa) ได้ตั้งชื่อสายพันธุ์ใหม่นี้ว่า “Rododelphis stamatiadisi” ตามชื่อเกาะที่พบฟอสซิลและนักบรรพชีวินวิทยาที่ค้นพบ (Polychronis Stamatiadis) โดย Rododelphis คาดว่ามันมีชีวิตอยู่เมื่อ 1.5 – 1.3 ล้านปีก่อนในช่วงยุคไพลสโตซีน
เพื่อให้เข้าใจถึง Rododelphis มากขึ้น นักวิจัยจึงเปรียบเทียบกายวิภาคของมันกับโลมาและวาฬเพชฌฆาตในปัจจุบัน
เช่นเดียวกับ Orcinus citoniensis (วาฬเพชฌฆาตที่สูญพันธุ์ไปแล้ว) ซึ่งเป็นญาติฟอสซิลเพียงชนิดเดียวที่รู้จักของวาฬเพชรฆาต เมื่อวัดตามความกว้างของกะโหลกศีรษะ Rododelphis มีขนาดใกล้เคียงกับวาฬเพชฌฆาตเทียมสมัยใหม่ โดยวัดได้ยาว 13 ฟุต และหนักประมาณ 1,200 ปอนด์ น่าแปลกที่อาหารมื้อสุดท้ายของมันคือปลา
เช่นเดียวกับวาฬเพชฌฆาตสมัยใหม่ “Orcinus” มีกล้ามเนื้อกรามที่ทรงพลังมากและมีฟันที่แหลมคม อย่างไรก็ตามฟันเหล่านี้มีขนาดเล็กกว่าฟันของวาฬเพชฌฆาตในปัจจุบัน
ที่น่าสนใจคือ ฟันของ Orcinus และ Rododelphis ไม่มีรอยข่วนและการบิ่นที่มักเกิดจากการกินเหยื่อที่มีแขนขา เช่น สัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม ..ฟันของพวกมันมีรอยขีดข่วนเล็กๆ และบิ่นเล็กน้อย บ่งบอกว่าทั้งสองสายพันธุ์กินปลา
ผลการศึกษายังขัดแย้งกับทฤษฎีว่าวาฬขนาดใหญ่ รวมทั้งวาฬสีน้ำเงิน วิวัฒนาการร่างยักษ์เพื่อหลีกเลี่ยงการถูกล่า ในขณะที่วาฬยักษ์ตัวแรกโผล่ออกมาเมื่อ 3.6 ล้านปีก่อน
การค้นพบของ Geisler และ Bianucci ชี้ให้เห็นว่าโลมาโบราณเริ่มล่าสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมในทะเลอื่นๆ รวมถึงวาฬหลังจากนี้ นักวิจัยเชื่อว่าพฤติกรรมนี้เริ่มต้นในปลาวาฬเพชรฆาตในช่วงสามล้านปีที่ผ่านมา โดยวาฬเพชฌฆาตเทียมจะปรับพฤติกรรมนี้ภายใน 1.5 ล้านปีที่ผ่านมา
“ความหลากหลายของตระกูลโลมาในมหาสมุทร เกิดขึ้นในช่วงห้าล้านปีที่ผ่านมา แต่หลักฐานฟอสซิลจากยุคไพลสโตซีนนั้นหายากมาก” Geisler ผู้เชี่ยวชาญด้านวิวัฒนาการของสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมในทะเลกล่าว
“จากการค้นพบ Rododelphis ตอนนี้เรากำลังเริ่มเติมเต็มช่องว่างนี้ และเข้าใจวิวัฒนาการ ในการหาอาหารของโลมาและวาฬในมหาสมุทร กล่าวอีกนัยหนึ่งว่าวาฬเพชฌฆาตและวาฬเพชฌฆาตเทียมมีวิวัฒนาการทางกายวิภาคของกะโหลกศีรษะที่คล้ายคลึงกัน รวมถึงพฤติกรรมการล่าสัตว์ทะเลชนิดอื่นๆ โดยเฉพาะสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมในทะเล”
แม้ว่าการค้นพบนี้จะให้ข้อมูลฟอสซิลแรกที่ใช้พิจารณาว่า การหาอาหารแบบนี้เริ่มต้นเมื่อใด การลดระยะเวลาให้แคบลงจะต้องใช้ฟอสซิลและการวิจัยเพิ่มเติม ด้วยเหตุนี้ นักวิจัยจึงเรียกร้องให้มีการตรวจสอบในอนาคตในพื้นที่อื่นๆ เช่น กรีซและอิตาลี ซึ่งเป็นส่วนที่มีตะกอนทะเลในยุคไพลสโตซีน ซึ่งทำให้มีโอกาสค้นพบพวกมันเพิ่มเติมได้อีก