1. ประเภทของปลาน้ำจืด
โดยปกติแล้ว เราจะแบ่งปลาออกเป็น 2 ประเภท ประเภทแรกคือ “ปลาหนัง อย่างเช่น ปลาบึก สวาย เทโพ เทพา ดุก กด สายยู อุบ เค้า ไหล” ประเภทที่สองก็คือ “ปลาเกล็ด อย่างเช่น ปลาตะเพียน ตะพาก ตะโกก กา เพี้ย กระมัง กระแห กระสูบ ช่อน ชะโด ล่อนม กระสง”
นอกจากนี้เรายังสามารถแบ่งจากพฤติกรรมการกินอาหารของปลาได้ เช่น ปลากินพืช “ปลายี่สก ปลาสลิด ปลาซ่ง กระมัง กระแห” .. ปลากินเนื้อ ..”ปลาช่อน ชะโด กระสูบ” และ ปลากินทั้งเนื้อและพืช “ปลาสวาย แรด ตะเพียน”
แต่ในปัจจุบัน พฤติกรรมการกินอาหารของปลา ค่อนข้างเปลี่ยนไปตามสภาพแวดล้อมและชุมชน เช่น ปลาสวายบริเวณชุมชนบ้านเรือนอาจจะกินอาหารที่มาจากเศษอาหารของคนในถิ่นนั้นๆ
2. ปลามีหนวดไว้ทำไม
เคยสงสัยบ้างไหมว่า ปลาบางตัวมีหนวดยาว บางตัวมีหนวดสั้นหรือบางตัวไม่มีหนวดเลย ปลามีหนวดไว้ทำไม? .. หนวดพวกนี้เป็นตัวเซ็นเซอร์ของมัน ปลาแต่ละชนิดสามารถปรับสภาพร่างกายของตัวมันให้รับรู้สัญญาณจากภายนอกได้ ทำให้ปรับระบบร่างกายให้เข้ากับสภาพภูมิประเทศหรือแหล่งอาศัยของมัน
3. ปลาใช้ประสาทในการรับรู้อะไรบ้าง?
แน่นอนว่าปลามีประสาทรับรู้คล้ายๆ กับมนุษย์ ความจริงอาจมีประสิทธิภาพกว่าด้วยซ้ำ โดยปกติแล้วปลาจะใช้การมองด้วยดวงตา การดมกลิ่น การสั่นสะเทือนทางผิวหนัง การรับรู้เรื่องรสชาติ และบางชนิดยังมีสัมผัสพิเศษอีกด้วย
– 3.1 การดมกลิ่น
ประสาทสัมผัสในการรับรู้เรื่องกลิ่น นับเป็นส่วนที่ดีที่สุดของปลาเลยก็ว่าได้ จึงไม่แปลกเลยที่เราจะตกปลาได้ด้วยการปรุงแต่งเหยื่อก่อนจะนำไปตก เช่น ขนมปังแผ่นผสมหัวเชื้อกลิ่นนม เนย เพื่อนำไปตกปลาสวาย สายยู ตะโกก เหยื่อหมัก เอาไปตกปลากด ปลาเทโพ เป็นต้น
– 3.2 การสั่นสะเทือนทางผิวหนัง
ปลาจะมีเส้นประสาทในการรับรู้ที่แตกต่างกันไป เช่น ปลาบางชนิดจะมีเส้นประสาทข้างลำตัวทั้งสองด้าน เพื่อรับรู้แรงสั่นสะเทือนของวัตถุที่เข้ามาใกล้มัน
ปลาบางตัวมีหนวดเป็นตัวรับความรู้สึก ซึ่งปลาพวกนี้มักจะอยู่ในแหล่งน้ำขุ่น เช่น ปลาดุก ปลาเค้า ปลากด อีกทั้งยังใช้หนวดนี้ในการคลำหาเหยื่อด้วย
– 3.3 การรับรู้เรื่องรสชาติ
นักวิทยาศาสตร์ได้ทำการศึกษาทดลองเกี่ยวกับการรับรู้รสของปลาทำให้ได้ผลออกมาว่า ในโพรงปากของปลานั้น ไม่มีต่อมรับรู้เรื่องรสชาติของอาหาร
แต่มันกลับมีต่อมที่คล้ายกับการรับรู้รสชาติภายนอกโพรงปาก เช่นตามตัว ตามหาง หรือตามหนวดอย่างเช่นตัวอย่างปลากดที่ได้ยกตัวอย่างในเบื้องต้นไปแล้ว
– 3.4 สัมผัสพิเศษ
อันนี้คงอยู่นอกเหนือกฎเกณฑ์ทั้งมวล ปลาสามารถรับรู้ด้วยสัญชาตญาณพิเศษ เช่นเส้นประสาทด้านข้างลำตัว สามารถแบ่งแยกสภาพพื้นผิวใต้น้ำได้ ทำให้มันไม่ว่ายชนสิ่งกีดขวางใต้น้ำที่มีสภาพขุ่นมัวได้ ปลาบางชนิดสามรถขับเมือกออกมาเพื่อเป็นการเตือนภัยได้
4. อุณหภูมิและสภาพแวดล้อมของน้ำที่มีต่อปลา
อุณหภูมิของน้ำ นับว่ามีความสำคัญต่อการกินเหยื่อของปลา อย่างเช่น ในฤดูหนาว ระดับน้ำที่ลึกลงไปจะเย็นจัดปลาจะขึ้นมาหากินในระดับน้ำที่สูงขึ้น เช่น ผิวน้ำหรือระดับกลางน้ำ
ซึ่งระดับน้ำในช่วงนี้จะเป็นระดับความเย็นที่พอเหมาะ และปลาจะเข้ามาหากินใกล้ฝั่งมากขึ้นซึ่งในทางกลับกัน หากเป็นฤดูร้อนมันก็จะพากันกลับลงไปหากินในระดับน้ำที่ลึกลงไป
ปลาบางประเภทชอบหากินในบางเวลากลางคืน และปลาบางประเภทก็ชอบหากินในเวลากลางวันมากกว่ากลางคืน ปลาบางชนิดกินเหยื่อถี่ในช่วงหลังฝนตก เช่น ปลากระแก ปลากระมัง ปลาบางชนิดชอบหากินในช่วงเช้าถึงสาย บ่ายๆ ถึงเย็น เช่น ปลากระสูบ ปลาชะโด เป็นต้น
5. ในไทยมีปลาน้ำจืดใหญ่ที่สุดในโลก 3 ชนิด
ใน 10 อันดับปลาน้ำจืดที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในโลก มีอยู่ถึง 3 ชนิด ที่พบได้ในประเทศไทย นั้นก็คือ ปลาบึก (Mekong Giant Catfish), ปลากระเบนราหูน้ำจืด (Giant Freshwater Stingray), ปลากระโห้ (Giant Barb, Siamese giant carp)
ปลาทั้ง 3 ชนิดอยู่ในสถานะ “เสี่ยงขั้นวิกฤติต่อการสูญพันธุ์” โดยเฉพาะ “ปลากระเบนราหูน้ำจืด” เพราะปลาชนิดนี้หาได้ยากแม้จะในบ่อปลา หรือฟิชชิ่งปาร์ค ในขณะที่ ปลาบึก และ ปลากระโห้ ยังพบได้ในฟิชชิ่งปาร์ค และมีการปล่อยลงเขื่อนอยู่เสมอ .. แม้จะไม่ใช่ปลาธรรมชาติก็ตาม
ก็จบแล้วสำหรับเรื่องที่เกี่ยวกับปลาน้ำจืด ความจริงมันเป็นความรู้ที่ดูจะเหมาะกับนักตกปลาเป็นพิเศษ ยังไงก็อย่าลืมแชร์ไปให้เพื่อนๆ ได้อ่านกันนะครับ