“อเมริกา” ดินแดนแห่งสุดท้าย
หลังจากที่มนุษย์ยุคแรกอพยพออกจากแอฟริกาตะวันออก ซึ่งอาจจะมีหลายรอบ ก่อนจะแพร่ไปทั่วทั้งยุโรป เอเซียหรือแม้แต่แถบโอเชียเนีย เมื่อประมาณ 50,000 ปีก่อน แต่ทวีปอเมริกานั้นยากที่จะไปได้ ต้องใช้เวลาหลายพันปี กว่าที่มนุษย์จะเข้าไปยังอเมริกาเหนือได้ ก่อนจะเดินทางลงใต้ไปยังอเมริกากลางและอเมริกาใต้
มนุษย์กลุ่มแรกที่คิดว่าเข้ามาในอเมริกาคือพวกที่มาจากเอเซียกลาง พวกเขาข้ามสะพานแผ่นดินที่เคยเชื่อมรัสเซียกับอลาสก้า ซึ่งพวกแมมมอธและสัตว์อื่นๆ เคยใช้เดินทาง ซึ่งกินระยะเวลา 26,500 – 19,000 ปีก่อนที่น้ำแข็งจะละลาย และทำให้เส้นทางจมสู่ก้นทะเล เป็นเวลานานถึง 2-3 พันปีที่ไซบีเรียและอลาสก้าเชื่อมกัน
มนุษย์และสัตว์ต่างๆ ใช้ทางเชื่อมนี้ในการอพยพไปยังอเมริกา หลักฐานทางโบราณคดี เช่น หัวหอก ชี้ให้เห็นว่าผู้คนในวัฒนธรรมโคลวิส ซึ่งตั้งชื่อตามเมืองในรัฐนิวเม็กซิโกที่มีการค้นพบสิ่งประดิษฐ์ดังกล่าวเป็นครั้งแรก โคลวิสยังเป็นกลุ่มแรกๆ ที่ตั้งถิ่นฐานในอเมริกาเมื่อประมาณ 14,000 ปีก่อน
อย่างไรก็ตาม หลักฐานทางโบราณคดีอื่นๆ ที่พบในช่วงสองทศวรรษที่ผ่านมา ทำให้เกิดข้อสงสัยเกี่ยวกับผู้คนในทวีปอเมริกาช่วงนั้น ตัวอย่างเช่น การขุดค้นถ้ำแห่งหนึ่งในซากาเตกัส เม็กซิโกตอนกลาง โดยนักโบราณคดีที่นำโดย Ciprian Ardelean จากมหาวิทยาลัย Universidad Autonoma de Zacatecas นำไปสู่การค้นพบขุมสมบัติของสิ่งประดิษฐ์ที่มีอายุมากถึง 31,000 ปี
Lorena Becerra-Valdivia นักวิทยาศาสตร์โบราณคดีที่มหาลัยนิวเซาธ์เวลส์และมหาวิทยาลัยอ็อกซ์ฟอร์ด ได้บอกว่า อย่างน้อยเมื่อ 15,000 ปี ก่อน อเมริกาได้มีการตั้งถิ่นฐานอย่างกว้างขวางแล้ว ที่บราซิลมีการค้นพบร่องรอยมนุษย์ 6 แห่ง .. 5 แห่งในรัฐ Piaui และอีก 1 แห่งที่ Moto Grosso ซึ่งมีอายุมากกว่า 20,000 ปี เห็นได้ชัดว่ามนุษย์ต้องอพยพมาจากเอเชียเร็วกว่าที่คิดไว้มาก
ในช่วงจุดสูงสุดของปลายยุคน้ำแข็ง พื้นที่ทางตอนเหนือของทวีปส่วนใหญ่ปกคลุมไปด้วยแผ่นน้ำแข็งขนาดใหญ่ ทำให้มนุษย์อพยพจากเอเซียไปอเมริกาเหนือในช่วงนั้นเป็นการยาก ดังนั้นการย้ายถิ่นควรเกิดขึ้นก่อนหรือหลังจากเหตุการณ์ยุคน้ำแข็งที่กินเวลา 20,000 ปี แต่จากหลักฐานในเม็กซิโกและอเมริกาใต้คาดว่าน่าจะเป็นช่วงก่อน
รอยเท้าในอุทยาน
หลายปีที่ผ่านมา ผู้คนสังเกตเห็นว่ามีรอยเท้าที่ปรากฏขึ้นบนพื้นดินของอุทยานแห่งชาติ White Sands เมื่อฝนตกพวกมันจะหายไปเมื่อพื้นแห้งทำให้มันได้ฉายาว่า “เส้นทางผี” ..ในปี 2016 นักวิทยาศาสตร์สัตว์ป่า David Bustos ได้ยืนยันถึงปรากฏการนี้และรอยเท้ามนุษย์ มันมีความสำคัญกว่าที่คิดไว้มาก
นักโบราณคดีพบเมล็ดพืชโบราณที่พบในรอยเท้าของฟอสซิลมีค่าคาร์บอนไม่เกิน 23,000 ปี พวกนี้เป็นพืชน้ำตระกูล Ditchgrass ซึ่งเติบโตบนฝั่งของทะเลสาบที่ปัจจุบันแห้งไปแล้ว
แม้พื้นที่ๆ พบจะเป็นทะเลทราย แต่จากการตรวจสอบแบบละเอียด หาดทรายบริเวณนี้เมื่อก่อนเป็นพื้นที่ชุ่มน้ำ เต็มไปด้วยแมมมอธ อูฐอเมริกาเหนือ ควายไบซัน และมนุษย์ยุคหิน
ภาพพิมพ์เหล่านี้ถูกแกะสลักเป็นดินเหนียว ทำให้เปราะบางมาก นักวิทยาศาสตร์ต้องถ่ายภาพและสร้างแบบจำลอง 3 มิติเพื่อไม่ให้ไปรบกวนหลักฐานพวกนี้
รอยเท้าส่วนใหญ่ที่พบเป็นของวัยรุ่นและเด็ก มีรอยเท้าผู้ใหญ่น้อยกว่า แสดงให้เห็นว่าวัยรุ่นจะไปที่ทะเลสาบเพื่อทำงานง่ายๆ เช่นตักน้ำ และงานอื่นๆ ขณะที่ผู้ใหญ่จะทำงานที่ใช้ทักษะและแรงงาน เช่นการล่าสัตว์
รอยเท้าเหล่านี้พบร่วมกับรอยเท้าของสัตว์ที่มีอายุอย่างน้อย 2,000 ปี นี่แสดงให้เห็นว่าการมีอยู่ของมนุษย์ในพื้นที่นี้ในช่วงยุคสุดท้ายของยุคน้ำแข็งยังมีอยู่ต่อไปเรื่อยๆ แทนที่จะเป็นเหตุการณ์แยกที่เกิดขึ้นครั้งเดียวโดยมนุษย์บางกลุ่มที่แยกตัวออกมา