เบื้องหลังอันน่ากลัว ที่ทำให้ควายป่าอเมริกัน เหลือ 300 ตัว จาก 60 ล้านตัว

ควายป่าที่กำลังจะพูดถึงในเรื่องนี้คือ ไบซันอเมริกัน (American bison) หรือ ควายป่าอเมริกัน (American buffalo) ซึ่งเป็นสัตว์ในวงศ์วัวและควาย (Bovidae) ถ้าเป็นบ้านเรา มักจะเรียกกันว่า ควายป่าไบซัน ไม่ก็ ควายไบซัน แต่ก็มีบางรายที่สงสัยกว่า ทำไม? ไม่เรียก วัว หรือ กระทิง? ซึ่งก็มีการถกเถียงกันในโลกออนไลน์ บางคนถึงขนาดบอกว่า มันไม่ใช้ทั้งวัวและควาย เอาเป็นว่าผมเองไม่ขอฟันธงว่า เรียกชื่อไทยยังไงถึงจะถูก มันก็แค่ชื่อสามัญภาษาไทย ที่บิดไปบิดมาได้ สรุปก็คือ จากนี้! ในเรื่อง หากผมพูดถึง ไบซัน เฉยๆ ก็หมายความถึง ควายป่าอเมริกัน หรือ ไบซันอเมริกัน และเจ้าไบซันชนิดนี้ ครั้งหนึ่งเคยเกือบสูญพันธุ์ แต่มันเป็นเพราะอะไร เดี๋ยวจะเล่าให้ฟัง

โรงงานที่รวบรวมกระดูก

Advertisements

จากภาพด้านล่าง ถ่ายที่โรงกลั่นคาร์บอนมิชิแกน (Michigan Carbon Works refinery) ในสหรัฐอเมริกาเมื่อปี พ.ศ. 2435 (1892) ตามข้อมูลระบุว่า เบื้องหน้า! โรงงานแห่งนี้ถูกสร้างขึ้นเพื่อศึกษาการดักจับและกักเก็บคาร์บอน และช่วงเวลาที่ภาพนี้ถูกถ่าย ก็ตรงกับช่วงเวลาที่จำนวนไบซัน ในประเทศอเมริกาลดเหลือเพียง 456 ตัว และอยู่ในจุดต่ำสุดที่ 300 ตัว ในปี พ.ศ. 2443 (1900) หากคุณคิดว่าสถิตินี้น่าตกใจ มันจะยิ่งน่าตกใจมากขึ้น หากคุณได้รู้ว่า ก่อนปี พ.ศ. 2343 (ก่อน 1800) มีไบซันอยู่ประมาณ 60 ล้านตัว เท่ากับว่า! เพียง 100 ปี ไบซันที่ตัวใหญ่ แข็งแรง และมีจำนวนมากขนาดนั้น แทบจะหายไปจากโลก

Michigan Carbon Works refinery ในสหรัฐอเมริกา ปี พ.ศ. 2435 (1892)

แม้โรงงานแห่งนี้จะสร้างเพื่องานวิจัย แต่ก็ทำกำไรจากการแปรรูปกระดูก ที่เกิดจากการล่าอาณานิคมของชาวตะวันตก วิธีการคือ บดกระดูกเหล่านี้ แล้วเปลี่ยนให้เป็นกาวหรือปุ๋ย จากนั้นก็ขายออกไป! ทุนนิยมไม่ใช่แรงจูงใจเพียงอย่างเดียว ที่ผลักดันให้เกิดการฆ่าสัตว์เหล่านี้ แต่เพราะฝูงไบซัน ถือเป็นส่วนสำคัญของชนพื้นเมือง การฆ่าไบซันทั้งหมด! จึงส่งผลกระทบต่อชนพื้นเมือง ไม่ทางตรงก็ทางอ้อม ซึ่งเป็นผลดีต่อผู้ที่เข้ามาใหม่!

ทางรถไฟที่แผ่ขยาย กองกระดูกที่มากขึ้น

ความรุนแรงของการล่าไบซันเพิ่มมากขึ้น หลังจากที่ทางรถไฟค่อยๆ แผ่ขยายไปทั่วทวีป โดยเริ่มต้นที่ทุ่งหญ้าภาคกลาง น่าเสียดายที่ไม่มีหลักฐานอ้างอิง ถึงวิธีที่ไบซันถูกฆ่าเป็นจำนวนมาก และทำไม? พวกมันส่วนใหญ่จึงถูกทิ้งไว้ จนเหลือเพียงกระดูก! แต่ที่แน่ๆ คือ เป็นฝีมือรัฐบาลอเมริกัน ที่ต้องการฆ่าไบซันทั้งหมด! เพื่อตัดกำลังชนพื้นเมือง

กองกระดูกที่เพิ่มขึ้น เร็วพอๆ กับเส้นทางรถไฟที่เพิ่มขึ้น ในตอนนั้น ปริมาณกระดูกที่รวบรวมมาจากทุ่งหญ้าภาคกลาง มีมากพอที่จะเติมเต็มรถบันทุกสินค้าเกือบ 5 พันคันต่อปี ด้วยค่าขนส่งเฉลี่ยต่อคัน อยู่ที่ประมาณ 100 ดอลลาร์ ในสมัยนั้น รถที่ขนส่งกระดูกเหล่านี้ จึงทำรายได้ประมาณ 500,000 ดอลลาร์ต่อปี การค้าที่ทำกำไรได้เช่นนี้ มีความสำคัญมาก! สำหรับทางรถไฟ ที่ต้องดิ้นรนเพื่อความอยู่รอด บนที่ราบที่มีประชากรเบาบาง

แต่! คงต้องบอกว่า รถไฟบรรทุกสินค้าฝั่งตะวันออก ไม่ใช่แค่กลุ่มเดียวที่ได้รับประโยชน์จากเส้นทางที่เพิ่งจัดตั้งขึ้นใหม่ เกษตรกรที่ยากจน จะได้รับเงิน 8 ดอลลาร์ต่อตัน ด้วยการรวบรวมกระดูกไปขาย ผู้อพยพและผู้ตั้งถิ่นฐานส่วนใหญ่ ต้องใช้เวลาอย่างน้อยหนึ่งปี ในการตั้งรกราก และมักจะมาถึงที่ราบสายเกินไป พวกเขาอาจมาไม่ทันช่วงที่จะสามารถปลูกธัญพืชได้ ด้วยเหตุนี้ พวกเขาจึงไม่สามารถซื้อเสบียงได้

เกษตรกรที่พบว่าตัวเอง ตกอยู่ในสถานการณ์เช่นนี้ ไม่มีทางเลือกอื่น! นอกจากจะต้องหาเลี้ยงชีพด้วยการเก็บกระดูก จนกว่าที่ดินของพวกเขาจะปลูก และเก็บเกี่ยวผลผลิตได้ ดังนั้น! กระดูกของวัวกระทิงโดยเฉพาะจากไบซัน ที่อาศัยอยู่ในเกรตเพลนส์ (Great Plains) จะช่วยให้พวกเขารอดไปได้ ….ใช่แล้ว พวกเขาเป็นเพียงคนเก็บกระดูก ไม่ใช่คนที่ฆ่าสัตว์ใหม่เหล่านี้

คนอื่นที่ได้รับประโยชน์ จากการค้าขายนี้ ก็คือคนขับรถลากในยุคบุกเบิก ผู้ซึ่งลากเสบียงไปยังฐานทัพ และที่ตั้งถิ่นฐานอันห่างไกล พวกเขาสามารถเพิ่มผลกำไร ได้ด้วยการรวบรวมกระดูกในระหว่างการเดินทางกลับ

ขณะที่ชาวอินเดียนแดง ที่สิ้นเนื้อประดาตัว จากการที่ไบซันถูกกำจัดออกจากทุ่งหญ้า พวกเขาไม่มีทางเลือก นอกจากต้องเก็บรวบรวมกระดูกเพื่อนำไปขาย ชาวเมติส ซึ่งเป็นกลุ่มชนพื้นเมืองในแคนาดา ก็ต้องตามเก็บโครงกระดูก ซึ่งบางครั้ง พวกเขาต้องเดินทางเกือบ 200 กิโลเมตร เพื่อรวบรวมกระดูกให้เต็มรถ และเมื่อเต็มแล้ว พวกเขาก็จะมุ่งหน้าไปยังสถานีรถไฟที่ใกล้ที่สุด เพื่อขายของที่พวกเขาเก็บมา

ขณะที่เจ้าของร้านบางคน จะยอมให้พวกเขาแลกเปลี่ยนสินค้า ตามมูลค่าของกระดูกที่พวกเขาเก็บมาได้ แม้จะดูเหมือนว่า นี่เป็นช่วงเวลาที่ยากลำบากสำหรับชาวอินเดียนแดงและชาวเมติส แต่นี่ก็เป็นเพียงจุดเริ่มต้นเท่านั้น

นั้นเพราะมีนักเก็บกระดูกเป็นจำนวนมาก ที่เดินไปทั่วทุ่งหญ้า เพียงไม่ถึงสิบปี กระดูกที่เกิดจากความตายของไบซันหลายสิบล้านตัว ก็หมดไปจากทุ่งหญ้าภาคกลาง! แต่ก็เพียงไม่นาน เพราะ! เมื่อเส้นทางรถไฟสายใหม่ไปถึงทุ่งหญ้าทางตอนเหนือและทางตอนใต้! กระดูกจากแหล่งใหม่ก็ถูกส่งเข้ามา! แต่ก็เพียงไม่นาน เพราะ! ไม่ว่าจะมองไปที่ไหน! ก็ไม่มีไบซันให้ฆ่าอีกแล้ว!

ผลกระทบที่ตามมาจากการฆ่าไบซันในเกรตเพลนส์ (Great Plains)

จากการฆ่าไบซันไปเป็นจำนวนมาก ได้ส่งผลกระทบต่อชนพื้นเมืองที่พึ่งพาสัตว์เหล่านี้อย่างรุนแรง โดยเฉพาะในระยะยาว! ผลกระทบแรกสุดคือพวกเขาจะขาดแคลนอาหาร และจากการวิจัยที่เพิ่งเปิดเผยมาเมื่อเร็วๆ นี้ ก็ระบุว่า ชนพื้นเมืองอเมริกัน ตัวเล็กลงอย่างมาก! หลังจากที่ไบซันถูกฆ่าจนเกือบหมด! นอกจากนี้ อัตราการตายของเด็กก็เพิ่มขึ้น หรือก็คือ! โดยรวมแล้ว ชนพื้นเมืองอเมริกัน อ่อนแอลงมากนั้นเอง

ตามที่รายงานหนึ่งในเว็บไซต์ ดิแอตแลนติก (the atlantic) เขียนเอาไว้ว่า! การกำจัดไบซัน เป็นวิธีการทำลายทรัพยากรของศัตรู ที่เจ้าหน้าที่ระดับสูงจนถึงประธานาธิบดีสหรัฐฯ คิดขึ้นมา มันเป็นวิธีแก้ปัญหา ที่โหดร้าย ต่อสิ่งที่พวกเขามองว่าเป็น “ปัญหา” ซึ่งก็คือ อินเดียนแดง

สิ่งที่พวกเขาทำคือ การทำลายล้างอย่างรุนแรง ซึ่ง! เกือบจะกำจัดสัตว์ที่เป็นแหล่งอาหารหลัก และเป็นส่วนหนึ่งของวัฒนธรรมชุมชน และไบสันยังเป็นสัตว์ป่าชนิดหลัก ที่มีส่วนกำหนดภูมิทัศน์ของทุ่งหญ้า การกำจัดไบซันออกไป จะทำให้ระบบนิเวศทั้งหมดไม่มั่นคง นำไปสู่การทำลายความหลากหลายของพืชและสัตว์ ซึ่งมีความสำคัญต่อมนุษย์ที่จำเป็นต้องพึ่งพิงทรัพยากรธรรมชาติ

อิทธิพลของไบซันต่อสิ่งแวดล้อม

Advertisements

เช่นเดียวกับช้าง เรากล่าวได้ว่า ไบซัน ควรได้รับการดูแลที่เหมาะสม สำหรับสิ่งที่พวกมันทำกับระบบนิเวศที่พวกมันอาศัยอยู่ แมลงเจริญเติบโตได้ดีในมูลของพวกมัน ลูกอ๊อดและกบ ตั้งรกรากอยู่ในแอ่งน้ำที่เกิดจากการกลิ้งไปมาของไบซัน นอกจากนี้ ไบซันหนึ่งตัว ยังเป็นแหล่งอาหาร ที่ให้เนื้อมากถึง 450 – 900 กิโลกรัม (1,000-2,000 ปอนด์) ลองคิดถึงสิ่งนี้ แล้วดูรูปภาพนี้ คุณจะเข้าใจว่า เหตุการณ์ที่เกิดขึ้น มันร้ายแรงขนาดไหน

ดาเนียล ทาเชอโร มาแมร์ส (Danielle Taschereau Mamers) ซึ่งเป็นนักวิจัยหลังปริญญาเอก ด้านภาษาอังกฤษ และ วัฒนธรรมศึกษา ที่ แม็คมาสเตอร์ ยูนิเวอร์ซิตี้ (McMaster University) ได้เขียนบทความให้กับ เดอะ คอนเวอร์เซชั่น (The Conversation) ในปี พ.ศ. 2563 (2020) โดยเขียนเอาไว้ว่า ทางรถไฟและถนนสายใหม่ ทำให้การขนส่งสินค้าเป็นเรื่องง่ายขึ้น สิ่งนี้! กระตุ้นให้เกิดอุตสาหกรรมการเก็บเกี่ยวทรัพยากรโดยทุนนิยม ในยุคล่าอาณานิคม เพื่อดึงเอาผลิตภัณฑ์จากสัตว์ออกจากสิ่งแวดล้อม วิธีการนี้ได้ทำลาย ความสัมพันธ์พิเศษ ระหว่างไบซันและความหลากหลายทางชีวภาพ ที่พวกมันสนับสนุน รวมถึงชนพื้นเมือง

สุดท้าย! ลัทธิล่าอาณานิคม และระบบทุนนิยม ที่จับมือกันแน่น ก็ได้รับประโยชน์จากความสำเร็จของโรงกลั่นคาร์บอนมิชิแกน มันเป็นผลพลอยได้จากยุทธวิธีที่รุนแรงและโหดร้ายอย่างที่สุด ที่ทำเพื่อการขยายตัวของการตั้งถิ่นฐานอาณานิคมของอเมริกา มันคือการได้ประโยชน์จากโครงการสร้างอาณานิคม ที่ใช้วิธีปล้นชิงที่ดิน ชาติพันธุ์ และ วัฒนธรรมของชนพื้นเมือง …และภาพถ่ายกองกระดูกไบซัน จะเป็นเครื่องเตือนใจ ถึงความโหดร้ายในสมัยนั้นไปตลอดกาล

อ่านเรื่องอื่น

Advertisements