สัตว์ที่ได้ชื่อว่า มิงค์ เป็นสัตว์ในวงศ์ มัสเทลิเด (Mustelidae) ซึ่งเป็นวงศ์ของสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมกินเนื้อ มีต่อมกลิ่นอยู่ที่ก้น ที่ประกอบไปด้วยสัตว์จำพวก วีเซล (Weasel), พังพอน (Polecat), แบดเจอร์ (Badger), วูล์ฟเวอรีน (Wolverine) พวกมันทั้งหมดเป็นสัตว์บก ถ้าจะมีตัวที่อยู่ในแม่น้ำหรือทะเลก็จะมีนาก ซึ่งถือเป็นวงศ์ย่อย และนากทะเลก็ไม่มีต่อมกลิ่น
ในขณะที่มิงค์หลายชนิดก็ชอบอาศัยอยู่ใกล้แหล่งน้ำ พวกมันว่ายน้ำค่อนข้างเก่ง แม้จะสู้นากไม่ได้ แต่ก็หากินบนบกได้เก่งกว่านากมาก พวกมันเร็วพอที่จะวิ่งไล่จับกระต่าย และในบรรดามิงค์ทั้งหมด มิงค์ทะเล (Sea mink) เป็นสัตว์ที่มีข้อมูลน้อย แม้มันจะถูกระบุว่าเพิ่งจะสูญพันธุ์ไป แต่ตัวอย่างของมิงค์ทะเล ก็มีเพียงกระดูกชิ้นเล็กๆ มีน้อยกว่ากระดูกทีเร็กซ์ด้วยซ้ำ
จากคำอธิบายในเอกสารของ โพรซีดดิงส์ ออฟ เดอะ เนชันแนล มิวเซียม (PROCEEDINGS OF THE NATIONAL MUSEUM) ที่ระบุปีของเอกสารเป็นปี พ.ศ. 2509 (1966) ได้พูดถึงมิงค์ทะเล (Sea mink) ที่มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า นีโอเกล แมโครดอน (Neogale macrodon) ว่า!
เมื่อศตวรรษก่อน ตามแนวชายฝั่งของนิวอิงแลนด์ ดูเหมือนจะมีสัตว์จำพวกพังพอนขนาดใหญ่อาศัยอยู่ ซึ่งเป็นที่รู้จักกันในชื่อต่างๆ เช่น มิงค์ทะเล หรือ มิงค์ชายฝั่ง มิงค์ยักษ์ มิงค์กระทิง มิงค์น้ำเค็ม หรือแม้แต่ มิงค์โบราณ น่าเสียดายที่พวกมันหายสาบสูญไปนานแล้ว เหลือเพียงบันทึกที่กระจัดกระจายและไม่ชันเจน จนพวกเราไม่สามารถเข้าใจธรรมชาติที่แท้จริงของมันได้ ด้วยความกังวลว่า! สายพันธุ์สัตว์หายากและใกล้สูญพันธุ์ จะหายไปในลักษณะเดียวกัน จึงจำเป็นต้องสรุปความรู้ ที่เกี่ยวกับสัตว์ที่หายไปชนิดนี้
การค้นพบชิ้นส่วนของสัตว์ปริศนา
ที่ตามแนวชายฝั่งมหาสมุทรแอตแลนติก ตั้งแต่รัฐเมนจนถึงนิวยอร์ก มีกองเปลือกหอยหรือกองขยะในครัวเรือนเป็นจำนวนมาก กองขยะที่เกิดจากการตั้งถิ่นฐานของชาวอินเดียนแดง ซึ่งมีอายุย้อนกลับไปถึงยุคก่อนโคลัมบัส กองขยะเหล่านี้ได้รับความสนใจจากนักวิจัยเป็นอย่างมาก หลายแห่งยังคงได้รับการสำรวจอยู่
ในกองเปลือกหอยแห่งหนึ่ง! ที่บรูคลิน เมืองแฮนค็อก รัฐเมน ซึ่งอยู่บนชายฝั่งตะวันตกของอ่าวบลูฮิลล์ ในปี พ.ศ. 2440 (1897) นักวิจัยได้ขุดพบชิ้นส่วนกะโหลกของมิงค์ขนาดใหญ่ที่ผิดปกติ จากนั้นจึงถูกนำไปเก็บรักษาไว้ใน พิพิธภัณฑ์แห่งชาติของสหรัฐอเมริกา และในเวลาต่อมาก็ถูกอธิบายว่าเป็นสายพันธุ์ใหม่ในปี พ.ศ. 2446 (1903) โดยให้ชื่อว่า ลูเทรโอลา แมโครดอน (Lutreola macrodon)
ตัวอย่างต้นแบบนี้! ประกอบด้วยขากรรไกรบน ส่วนของกระดูกจมูก โหนกแก้มขวา และ เพดานปากไปจนถึงฟันกรามซี่สุดท้าย ฟันทุกซี่อยู่ในสภาพดี ยกเว้นฟันเขี้ยวที่หักที่ปลาย
แดเนียล เว็บสเตอร์ เพรนทิส (Daniel Webster Prentiss) ผู้ซึ่งอธิบายมิงค์ทะเลเป็นคนแรก อธิบายว่า มันมีจมูกกว้างมาก ช่องเปิดจมูกและรูใต้ตาขนาดใหญ่ ซึ่งชี้ให้เห็นว่า กระดูกจมูกยกขึ้นมากกว่ามิงค์อเมริกัน (Mustela vison) ซึ่งถือเป็นญาติใกล้ชิดที่สุด ลักษณะฟันมีความคล้ายคลึงกัน ยกเว้นขนาดของฟันที่ใหญ่กว่า และมุมที่แหลมกว่า
ต่อมาก็มีการพบเศษกระดูกของมิงค์ทะเลมากขึ้น จึงทำให้นักวิจัยเริ่มมองเห็นลักษณะที่แท้จริงของสัตว์ชนิดมากขึ้น มันเป็นสัตว์ที่มีสันกะโหลกที่เด่นชัด กระดูกข้างขม่อมที่ขรุขระ ช่องเปิดกะโหลกศีรษะขนาดใหญ่ และปุ่มท้ายทอยขนาดใหญ่ กระดูกหูชั้นกลางต่ำ และจากการศึกษามาอย่างยาวนาน ในที่สุดมิงค์ทะเลก็ถูกย้ายให้ไปอยู่ในสกุล นีโอเกล (Neogale) จนถึงปัจจุบัน
ทั้งนี้ มิงค์ทะเล ถูกจัดให้เป็นสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมในทะเล แต่ก็ไม่ใช้สัตว์ที่อาศัยในทะเลอย่างแท้จริง เพราะถูกจำกัดให้อยู่ได้เฉพาะตามชายฝั่งทะเลเท่านั้น มันมีความสูง 17 – 19 เซนติเมตร ยาว 52 – 57 เซนติเมตร และหนัก 0.7 – 1.6 กิโลกรัม เป็นสัตว์ที่อาศัยอยู่ตามแนวชายฝั่งที่เป็นหิน คาดว่ามิงค์ทะเลถูกล่าจนสูญพันธุ์ในช่วงปลายศตวรรษที่ 19
การค้าขนสัตว์ ทำรู้รายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับมิงค์ทะเล
เรื่องราวที่เกี่ยวกับมิงค์ทะเลที่เขียนเอาในช่วงปี พ.ศ. 2378 (1835) เป็นเรื่องราวของพ่อค้ารับซื้อขนสัตว์ที่ชื่อว่า แมนลี ฮาร์ดี (แมนลี ฮาร์ดี) ในรายงานได้ระบุว่า มีหนังมิงค์ผ่านมือเขามากกว่า 50,000 ผืน เขาสามารถจำแนกมิงค์ขนาดใหญ่ที่ผิดปกติได้อย่างง่ายดาย โดยเฉพาะที่มาจากเกาะสวอน และ มาร์แชล ซึ่งเขาได้รับหนังมาจากชาวอินเดียนแดง ในภูมิภาคพีน็อบสก็อต (Penobscot) และ เจริโค เบย์ (Jericho Bay) ซึ่งเป็นแหล่งที่อยู่อาศัยของสัตว์ทะเลหลายชนิด
จนถึงช่วงปี พ.ศ. 2403 (1860) เขาก็ได้รับขนของมิงค์แปลกๆ มันหยาบกว่ามาก และมีสีแดงกว่ามิงค์ในแผ่นดิน มันดูจะอ้วนมาก และมีกลิ่นคาวปลาที่รุนแรง แน่นอนว่ามันแตกต่างจากมิงค์ที่เขาเคยได้รับมา แต่เพราะมันมีขนาดใหญ่ จึงมีราคาที่สูงกว่าและยังเป็นที่ต้องการมาก
วิธีการจับมิงค์ชนิดนี้ค่อนข้างต่างจากมิงค์บนแผ่นดิน แทนที่จะใช้วิธีวิ่งไล่จับด้วยสุนัข แต่นายพรานบางคนจะไล่ล่าพวกมัน จากเกาะหนึ่งไปยังอีกเกาะหนึ่ง ค้นหาตามโขดเล็กๆ ที่อาจจะมีมิงค์อาศัยอยู่ พวกเขาจะพาสุนัขไปด้วย นอกจากปืน พลั่ว เหล็กงัด และชะแลงจะจำเป็น ยังต้องนำผงพริกและกำมะถันไปด้วย
หากพวกมันหลบอยู่ในรู หรือรอยแตกของหิน นายพรานจะใช้พลั่วและชะแลงเพื่อไล่พวกมันออกมาข้างนอก และสุนัขจะจับพวกมันเมื่อออกมา แต่! หากพวกมันอยู่ในซอกหินที่ไม่สามารถเข้าถึงได้ และเห็นดวงตาของพวกมัน นายพรานจะยิ่งด้วยปืน แล้วดึงออกมาโดยใช้แท่งเหล็กที่มีสกรูที่ปลาย หากมองไม่เห็นพวกมัน พวกมันมักจะถูกไล่ออกมาโดยการโยนพริกเข้าไป หากวิธีนี้ยังล้มเหลว พวกมันก็จะถูกรมควันด้วยกำมะถัน ซึ่งเมื่อมาถึงวิธีนี้หากมันไม่ออกมาก็จะต้องตายอยู่ในรู และจากการล่าที่ดุเดือด จึงไม่แปลกหากมิงค์ทะเลจะสูญพันธุ์ไปอย่างรวดเร็ว