การวิจัยครั้งนี้นำโดย ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.ธนวัฒน์ เชาวสกู และนักศึกษาระดับปริญญาเอก ได้แก่ นางสาวฉัตรธิดา วิยา (สาขาวิชาชีววิทยา) และนางสาวอานิสรา ดำทองดี (สาขาวิชาความหลากหลายทางชีวภาพและชีววิทยาชาติพันธุ์) พร้อมทั้งนายนายกิติศักดิ์ อ๋องย่อง และนายอับดุลรอแม บากา นักวิจัยอิสระ
ทั้งหมดได้ร่วมกันศึกษาตัวอย่างพืชจากอำเภอจะแนะ และอำเภอสุคิริน จังหวัดนราธิวาส โดยบูรณาการข้อมูลสัณฐานวิทยาและวิวัฒนาการชาติพันธุ์เชิงโมเลกุลเข้าด้วยกัน พบว่าเป็นพืชชนิดใหม่ของโลกในวงศ์กระดังงา (Annonaceae) จำนวน 1 ชนิด คือ เหลืองปิยะรัตน์
เรื่องน่ารู้ของ “เหลืองปิยะรัตน์”
เหลืองปิยะรัตน์ ชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Phaeanthuspiyae Wiya, Aongyong & Chaowasku ตั้งชื่อเพื่อเป็นเกียรติแก่ ดร.ปิยะ เฉลิมกลิ่น นักวิจัยอาวุโส ผู้ริเริ่มการศึกษาพืชวงศ์กระดังงาในประเทศไทย และได้รับการตีพิมพ์ในวารสารวิชาการระดับนานาชาติ Taiwania ปีที่ 66 ฉบับที่ 4 หน้าที่ 509-516 พ.ศ. 2564
โดยงานวิจัยนี้เป็นส่วนหนึ่งของโครงการวิจัย อนุกรมวิธานและวิวัฒนาการชาติพันธุ์ของพรรณไม้วงศ์กระดังงาในประเทศไทยที่หายากและยังไม่เป็นที่รู้จัก เพื่อการอนุรักษ์และการใช้ประโยชน์อย่างยั่งยืน ภายใต้การสนับสนุนจากสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมวิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (สกสว.) กองทุนส่งเสริมวิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม
เหลืองปิยะรัตน์มีลักษณะเด่น คือ เป็นไม้ต้นขนาดเล็ก สูงประมาณ 3 เมตร มีก้านดอกยาว กลีบดอกชั้นนอกมีขนาดเล็กคล้ายกลีบเลี้ยง กลีบดอกชั้นในเมื่อเจริญเต็มที่จะมีสีเหลืองเข้ม ที่โคนกลีบมีสีม่วงอมน้ำตาล ดอกมีกลิ่นหอม ผลเป็นผลกลุ่ม ผลย่อยมีเมล็ดเดียว เมื่อสุกสีแดงสด
จากการสำรวจพบเหลืองปิยะรัตน์เพียงไม่กี่ต้นในหย่อมป่าดิบชื้นที่ถูกรบกวน ซึ่งรายล้อมไปด้วยสวนยางและสวนผลไม้ สุ่มเสี่ยงที่จะถูกแผ้วถางจนสูญพันธุ์ จึงจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องช่วยกันอนุรักษ์ไว้ ก่อนที่จะไม่เหลือให้ชนรุ่นหลังได้ชื่นชมและศึกษา นอกจากเหลืองปิยะรัตน์แล้ว ในประเทศไทยยังพบพืชสกุล Phaeanthus อีก 1 ชนิด คือ หัวลิง ซึ่งมีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Phaeanthuspiyae Oliv. โดยพบที่จังหวัดนราธิวาสและยะลา
“เหลืองปิยะรัตน์มีศักยภาพในการพัฒนาเป็นไม้ดอกไม้ประดับได้ เนื่องจากมีดอกที่สวยงามและมีกลิ่นหอม นอกจากนี้พบว่าผู้คนในแถบเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ใช้พืชสกุล Phaeanthus ชนิดอื่น ๆ เป็นพืชสมุนไพรรักษาโรคตา ดังนั้นอาจพัฒนาเหลืองปิยะรัตน์เป็นพืชสมุนไพรได้เช่นเดียวกัน ซึ่งจะต้องมีการศึกษาเพิ่มเติมทางด้านเภสัชเวทและเภสัชวิทยาต่อไป” ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.ธนวัฒน์ กล่าวทิ้งท้าย