“เมื่อราว 50 ปีก่อน เกิดเหตุการณ์พายุที่อันตรายที่สุดในประวัติศาสตร์ ที่บันทึกไว้ในเอเชียใต้ มันได้คร่าชีวิตผู้คนมากถึง 6 แสนคน”
จุดเริ่มต้นของพายุ
เมื่อวันที่ 11-12 พฤศจิกายน 1970 พายุไซโคลนโบลา ได้พัดถล่มปากีสถานตะวันออก (ปัจจุบันคือบังกลาเทศ) ซึ่งเป็นจังหวะที่น้ำขึ้นสูง พายุได้กระตุ้นให้เกิดคลื่นขนาดใหญ่ มันกวาดผู้คนหลายแสนคนในพื้นที่ต่ำไปทั้งหมด โดยก่อนหน้านี้ พายุไซโคลนขนาดเล็กได้ถล่มพื้นที่นี้ ในเดือนตุลาคม 1970 โดยมีผู้เสียชีวิต 300 คน
“จนในวันที่ 8 พฤศจิกายน 1970 พายุโคลนโบลา มาถึงบริเวณอ่าวเบงกอล และกำลังมุ่งหน้าขึ้นฝั่ง แต่เจ้าหน้าที่ไม่ได้แจ้งคำเตือนใดๆ แก่ประชาชน เพราะพวกเขาอาจคิดว่าประชาชนจะย้ายไปยังพื้นที่ปลอดภัย เนื่องจากพายุก่อนหน้าที่เพิ่งผ่านไป”
หายนะที่สมบรูณ์แบบ
สิ่งที่ไม่มีใครคาดคิดก็คือพายุมีความเร็วลมถึง 185 กิโลเมตรต่อชั่วโมง (บางแหล่ง 225 กม. / ชม ) ที่พร้อมจะพัดพาทุกสิ่งที่มันขวางทางมัน นอกจากนี้สิ่งที่ทำให้ทุกอย่างเลวร้ายลงคือ “การตอบสนองอย่างเชื่องช้าของรัฐบาลปากีสถาน” พวกเขาไม่แยแสต่อความทุกข์ทรมานของผู้ประสบภัยพายุไซโคลน อีกทั้งการระดมสิ่งของบรรเทาทุกข์จากนานาชาติที่ล่าช้า ทำให้เกิดเป็นหายนะที่สมบรูณ์แบบ
“รายงานส่วนใหญ่แสดงให้เห็นว่าผู้เสียชีวิตอยู่ที่ 300,000 คน แต่การประมาณการคาดว่าตัวเลขที่แท้จริงอาจจะสูงถึง 600,000 คน การเสียชีวิตที่เจ้าหน้าที่บันทึกไว้มาจากคนของรัฐบาล ทำให้ตัวเลขดูน้อยกว่าที่เห็น”
ผู้เชี่ยวชาญหลายคนเชื่อว่าบันทึกดังกล่าว ได้ระบุจำนวนประชากรในภูมิภาคน้อยกว่าที่คิดมาก เนื่องจากการเก็บข้อมูลที่ไม่เที่ยงตรงและอัตราการเกิดที่สูงมาก อีกทั้งจำนวนแรงงานที่เดินทางเข้าออกจำนวนมาก จำนวนผู้สูญเสียที่อยู่อาศัยมีมากถึง 50 ล้านคน ซึ่งเสื้อผ้า ที่อยู่อาศัย ไร่นา อุปกรณ์การเกษตร ถูกทำลายเรียบจากพายุ
เมื่อทั้งหมู่บ้านและไร่นาถูกลมพัดทำลาย โรคเช่นอหิวาตกโรคและไทฟอยด์ก็ตามมาเนื่องจากศพมนุษย์และสัตว์จำนวนมากที่กลบฝังไม่ทัน
อ่าวเบงกอลเป็นแหล่งกำเนิดสำหรับพายุไซโคลนร้ายแรงและพายุทำลายล้างอื่น ๆ หลังจากพายุโบลา ชายฝั่งที่ราบต่ำของบังกลาเทศซึ่งเป็นที่อยู่อาศัยของผู้คน 30 ล้านคนและทางตะวันออกของอินเดียถูกพายุไซโคลนที่คร่าชีวิตผู้คนหลายแสนคนถล่มไปหลายครั้งในช่วงหลายทศวรรษที่ผ่านมา
และนี่คือเรื่องราวความน่ากลัวของพายุ ซึ่งโบลาถูกจัดให้เป็นเหตุการณ์จากพายุที่ร้ายแรงที่สุดในประวัติศาสตร์ยุคใหม่ ยังไงถ้าน้าๆ ชอบเรื่องนี้ก็แชร์ไปให้น้าท่านอื่นได้อ่านกันนะครับ
สัตว์ประหลาดยักษ์ในน้ำมีอยู่จริง แต่พวกมันกำลังจะหายไปตลอดกาล