วิ่งมาราธอนโอลิมปิก ปี 1904 ที่เป็นตำนาน มันเป็นการแข่งที่เต็มไปด้วยเหตุชุลมุน อื้อฉาว หน้าด้าน จะเรียกว่าความชั่วร้ายทั้งหมดเอาไว้เลยก็ได้ โดยการแข่งเป็นเส้นทางระยะ 40 กิโลเมตร ถนนที่เต็มไปด้วยฝุ่น มีเศษหิน เกวียนส่งของ รถราง รถเข็น และผู้คนที่พาสุนัขไปเดินเล่น มีและมีเนินเขาสูง 100 – 300 ฟุต ประมาณ 7 แห่ง
ในวันนั้นที่จุดสตาร์ทมีนักวิ่ง 32 คน พวกเขาถูกปล่อยตัวในช่วงบ่าย โดยต้องวิ่งผ่าน “สนามแข่งที่ยากที่สุดเท่าที่มนุษย์เคยวิ่งมา” แถมเจ้าหน้าที่ตั้งใจว่าจะให้นักวิ่งได้รับน้ำน้อยที่สุด โดยอ้างว่าต้องการทดสอบขีดจำกัดและผลกระทบจากการขาดน้ำ
นักวิ่งคนแรกที่เกือบตายเพราะขาดน้ำ “วิลเลียม การ์เซีย” นักวิ่งจากแคลิฟอร์เนีย เขาเป็นคนแรกที่เกือบจะเสียชีวิตในการแข่งวิ่งมาราธอนครั้งนี้ เขาทรุดลงไปนอนข้างทางด้วยอาการตกเลือด และผลกระทบจากฝุ่นละอองตามถนน โชคดีที่ถูกนำส่งโรงพยาบาลได้ทัน ..จึงรอดชีวิตมาได้อย่างหวุดหวิด
นักวิ่งที่ถูกฝูงหมาป่าไล่กัด “เลน เทา” มาจากแอฟริกาใต้ เขาต้องหนีตายจนหลุดออกจากเส้นทางไปหลายกิโลเมตร แต่ผู้ชมหลายคนบอกว่าเรื่องแบบนี้ไม่เห็นจะเกิดขึ้น
“เฟลิกซ์ คาร์วาจาล” นักวิ่งชาวคิวบา ผู้มาในชุดอันหล่อเหลา เขาระดมทุนเพื่อมาใช้ในการแข่งขันโดยการวิ่งไปทั่วคิวบา แต่เมื่อเขาวิ่งมาถึงเมืองนิวออร์ลีนส์ในรัฐหลุยส์เซียน่า เขากลับสูญเงินไปกับการพนันจนหมดตูด ทำให้ต้องเดินและโบกรถไปเมืองเซนต์หลุยส์ และเขาก็มาทันเวลาแบบฉิวเฉียด เขาไม่มีเวลาแม้แต่จะเปลี่ยนชุด สุดท้ายต้องวิ่งโดยใส่เสื้อแขนยาว กางเกงสแล็คขายาว สวมใส่รองเท้าลำลอง แลดูน่าสงสาร .. แต่เรื่องของเขาคนนี้ไม่ได้มีแค่นี้
นักวิ่งชาวคิวบาคนนี้วิ่งไปเจอรถคันหนึ่ง เขาเห็นเจ้าของรถกำลังกินลูกพีชอยู่จึงขอแบ่งมากิน แต่ก็ถูกปฏิเสธ เขาจึงฉกเอามาดื้อๆ สองลูก ไม่ไกลจากจุดแรก เขาไปเจอสวนผลไม้ จึงแอบไปขโมยกินแอปเปิ้ล คราวนี้กรรมสนอง กลายเป็นว่าแอปเปิ้ลที่เขากินไปนั้นเน่า ทำให้เกิดอาการปวดท้องรุนแรง เขาจึงล้มตัวลงนอนแล้วหลับไป แต่ถึงกระนั้นเมื่อเขาตื่นขึ้นมาก็ยังสามารถวิ่งเข้าเส้นขัยได้เป็นลำดับที่ 4 ได้ – -. (งงอะดิ)
“เฟรด ลอร์ซ” ผู้โบกรถโดยสาร! เขาเป็นหนึ่งในผู้นำอันดับแรก เกิดเป็นตะคริวหลังวิ่งไปได้เพียง 14 กิโลเมตร จึงตัดสินใจโบกรถที่ผ่านทางมา แต่แทนที่จะแอบๆ เขาดันโบกมือโบกไม้ให้กับผู้ชมและนักวิ่งระหว่างทาง
ระหว่างทางมีนักวิ่ง “โธมัส ฮิคส์” เป็นนักวิ่งชาวอเมริกา เขาวิ่งมาได้ 17 กิโลเมตรแล้ว คนนี้พิเศษหน่อย เพราะมีทีมงาน 2 คนขนาบข้างอยู่ด้วย แต่ดูเหมือนทีมงานจะไม่ได้มาเพื่อให้ฮิคส์สบายเท่าไร เพราะเมื่อเขาขอน้ำกินก็ถูกปฏิเสธ แต่ทีมงานกลับเอาน้ำมาชุบปากเขาแทน จนอีก 11 กิโลเมตรจะถึงเส้นชัย ทีมงานให้เขากินไข่ขาวผสมสตริกนิน มันเป็นสารที่ถูกใช้เป็นยาเบื่อหนูและสัตว์ชนิดอื่น แต่หากใช้น้อยจะเป็นยากระตุ้น โดยในสมัยนั้นยังไม่มีกฎห้ามในการใช้ยาโด๊ป
กลับมาที่ “เฟรด ลอร์ซ” ขณะที่เขานั่งรถสบายๆ มาจนขาหลายเป็นตะคริว และเหลืออีก 17 กิโลเมตร เขาก็โดดลงรถ ตอนนั้นทีมงานของฮิคส์เห็นพอดี จึงบอกให้เขาหยุดวิ่ง เพราะมันขี้โกงไปนะ แต่ลอร์ซก็ไม่สนใจวิ่งต่อไปจนเข้าเส้นชัยคนเป็นแรก
ฝูงชนโห่ร้องเสียงดังกระหึ่ม “อลิซ รูสเวลท์” ลูกสาวของประธานาธิบดี “ธีโอดอร์ รูสเวลท์” กำลังจะคล้องเหรียญทองให้ “เฟรด ลอร์ซ” ผู้โบกรถโดยสาร! อยู่แล้ว จนมีพยานเห็นว่าเขาโกงได้ประท้วงขึ้นมา เสียงโห่ไล่ดังไปทั่ว สุดท้ายลอร์ซยิ้มออกมาแล้วบอกว่าตัวเขาไม่ได้ตั้งใจจะรับรางวัลอยู่แล้ว ที่วิ่งเข้าเส้นชัยก็เพราะทำไปแค่ขำๆ
กลับไปที่ฮิคส์ (ที่เพิ่งโดนยาเบื่อหนูไป) ตอนนี้สารสตริกนินกำลังได้ที่ ทำให้ใบหน้าของเขาซีดเผือด แขนขาก็อ่อนเปลี้ย แต่เมื่อได้ยินว่าลอร์ซถูกตัดออกจากการแข่งขันก็ทำให้เขามีแรงฮึดขึ้นมาอีก ทีมงานจัดแจงป้อนไข่ผสมสตริกนินให้เขากินอีกครั้ง คราวนี้จัดหนักกว่าเดิม มีการผสมบรั่นดีเพื่อให้ลื่นคอขึ้นอีก ทีมงานยังเอาผ้าชุบน้ำอุ่นมาเช็ดตามตัวของฮิคส์ ซึ่งก็ทำให้เขาฟื้นตัวและเร่งฝีเท้าขึ้นได้อีก (เพื่อชัยชนะทำไรก็ได้)
พอใกล้จะถึงเส้นชัย ฮิคส์ก็มีสภาพที่ดูไม่จืด เขาพยายามจะวิ่งแต่กลายเป็นว่าต้องเดินลากเท้าแทน ทีมงานต้องเข้ามาช่วยพยุงจนเส้นชัยสำเร็จ และเขาก็ได้รับการประกาศชื่อว่าเป็นผู้ชนะ หลังจากนั้นต้องอาศัยหมอ 4 คนและเวลาอีก 1 ชั่วโมง เพื่อทำให้ฮิคส์อาการดีขึ้นจนลุกจากพื้นได้ เขาสูญเสียน้ำหนักไปถึง 3.6 กิโล ในการแข่งครั้งนี้ .. เรียกว่าเกือบตาย
ฮิคส์กับลอร์ซ กลับมาเจอกันอีกครั้งในการแข่งที่บอสตันมาราธอนในปีถัดมา ซึ่งคราวนี้ลอร์ซเอาชนะไปได้โดยปราศจากกลโกง “การใช้สารกระตุ้นของฮิคส์ถูกบันทึกเอาไว้ว่าเป็นการใช้ยาเป็นครั้งแรกในโอลิมปิกสมัยใหม่”
อ่านเรื่องอื่น
อ้างอิง
-
คุณ Sarawut Thongseng จากกรุ๊ป “The Wild Chronicles สมาคมผู้สนใจประวัติศาสตร์ สงคราม เรื่องต่างประเทศ”
-
smithsonianmag.com